เชื่อว่านักท่องเที่ยวที่กำลังวางแผนมาเยือนกรุงวอชิงตันดีซี หรือนักเดินทางที่มีกิจธุระต้องเดินทางผ่านเมืองนี้น่าจะรู้จักสถานที่แห่งหนึ่งที่มีความโดดเด่น เป็นสัญลักษณ์ของเมืองที่ควรวางแผนแวะเข้าไปเยี่ยมชมและถ่ายภาพเป็นที่ระลึกสักครั้งว่าได้มาถึงเมืองหลวงของประเทศสหรัฐอเมริกาแล้วอย่างแน่นอน
แท่งหินฐานสี่เหลี่ยมยักษ์ที่มียอดเป็นทรงพีระมิดความสูง 169 เมตร เทียบได้กับตึกสูงประมาณ 35 ชั้น (ประมาณครึ่งหนึ่งของตึกมหานคร ตึกที่สูงที่สุดในประเทศไทยในปัจจุบัน) ตั้งอยู่บนพื้นที่โล่งกว้าง เรียกว่า เนชันแนล มอลล์ (National Mall) รายล้อมไปด้วยสถานที่สำคัญของกรุงวอชิงตัน ดีซี (Washinton D.C.) เช่น ทำเนียบขาว (The White House) รัฐสภา (The United States Congress) พิพิธภัณฑ์และหอศิลป์ในเครือสถาบันสมิธโซเนียน (The Smithsonian) รวมถึงอนุสรณ์สถานประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์น (Lincoln Memorial) สถานที่แห่งนี้ คือ อนุสาวรีย์วอชิงตัน (Washington Monument) นั่นเอง
ไม่เพียงรูปลักษณ์และขนาดอันใหญ่โตที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว เรื่องราวเบื้องหลังของอนุสาวรีย์แห่งนี้ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน สถานที่ตั้งของอนุสาวรีย์และพื้นที่โดยรอบ คือจุดตัดระหว่างเส้นตรงตามแนวทิศเหนือ-ใต้จากทำเนียบขาว และเส้นตรงตามแนวทิศตะวันออก-ตะวันตกจากรัฐสภา เพื่อเป็นที่ระลึกให้กับจอร์จ วอชิงตัน (George Washington) ประธานาธิบดีคนแรก และหนึ่งในผู้นำสหรัฐอเมริกาให้รอดพ้นจากการเป็นอาณานิคมของประเทศอังกฤษ ซึ่งแนวคิดในการสร้างสิ่งก่อสร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์ให้กับจอร์จ วอชิงตัน นั้นมีผู้เสนอขึ้นหลายรูปแบบและหลายสถานที่ เช่น รูปปั้นจอร์จ วอชิงตันบนหลังม้า ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางวงเวียนวอชิงตัน (Washington Circle) แต่อนุสาวรีย์วอชิงตันที่ผู้เขียนกำลังพูดถึงได้ถูกนำเสนอโดยสมาคมอนุสรณ์แห่งชาติวอชิงตัน (Washington National Monument Society) ในปี ค.ศ. 1833 ก่อนได้รับอนุมัติจากรัฐสภา เพื่อเปิดเรี่ยไรเงินบริจาคจากประชาชนทั่วไป และให้สถาปนิก โรเบิร์ต มิลส์ (Robert Mills) เป็นผู้ออกแบบ ในปี ค.ศ. 1835 และเริ่มการก่อสร้างจริงในปี ค.ศ. 1848 แต่แผนการที่วางไว้กลับไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด
ภาพที่ 1 อนุสาวรีย์วอชิงตัน เมื่อมองจากอนุสรณ์สถานประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์น
ผ่านเงาสะท้อน Reflection Pool
เมื่อสังเกตให้ดีจะเห็นว่าพื้นผิวภายนอกของอนุสาวรีย์วอชิงตันมีสีที่แตกต่าง ไม่ได้เป็นเนื้อเดียวกันตลอดทั้งหมด สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็สืบเนื่องมาจากการก่อสร้างที่ดำเนินไปจนถึงปีค.ศ. 1854 โครงการประสบปัญหางบประมาณจากเงินบริจาคที่ไม่เพียงพอจนต้องหยุดพักการก่อสร้างไว้ และยังเกิดสงครามกลางเมืองระหว่างมลรัฐที่มีแนวคิดแตกต่างกันในเรื่องแรงงานทาส ช่วงปีค.ศ. 1861 -1865 แม้สงครามสิ้นสุดลงแต่การก่อสร้างก็ยังไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ เพราะความกังวลเรื่องความแข็งแรงของฐานรากที่ถูกปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลานาน รวมถึงมีการทบทวนเรื่องความเหมาะสมของการออกแบบ เพราะแบบร่างดั้งเดิมของโรเบิร์ต มิลส์ มีจุดชมวิวภายนอกอยู่เป็นชั้น ๆ ไปจนถึงยอด ซึ่งสูงกว่าความสูงปัจจุบันถึง 30 เมตร จึงมีการปรับการออกแบบอีกครั้ง จนกระทั่งปีค.ศ. 1879 รัฐสภาจึงได้มอบหมายให้กรมทหารวิศวกรรม (United States Army Corps of Engineers) รับผิดชอบตรวจสอบความแข็งแรงของโครงสร้างแล้วดำเนินการก่อสร้างต่อจนเสร็จในปี ค.ศ. 1884 ก่อนเปิดให้สาธารณชนเข้าชมได้ในปีค.ศ. 1888 ต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้ อย่างไรก็ตาม การเว้นวรรคการก่อสร้างเป็นระยะเวลากว่า 25 ปีนี้เองที่ทำให้วัสดุก่อสร้าง ได้แก่ หินแกรนิตและหินทรายที่ใช้นั้นมาจากคนละแหล่ง ส่งผลให้สภาพพื้นผิวภายนอกมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเวลาผ่านไป
หากเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยและการชมอนุสาวรีย์วอชิงตันจากภายนอกไม่น่าตื่นเต้นพอ นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมภายในอนุสาวรีย์ได้ด้วย เพียงแค่ต้องไปรับบัตรเข้าชมภายในวันนั้นๆ ที่สำนักงานด้านล่างในเวลา 7 นาฬิกาของทุกวันโดยไม่มีค่าใช้จ่าย แต่จำนวนผู้เข้าชมมีจำกัด ดังนั้น ควรจองคิวล่วงหน้าเพื่อให้ได้เข้าชมตามวันและเวลาที่ต้องการผ่านเว็บไซต์ https://www.nps.gov/wamo/planyourvisit/index.htm โดยมีค่าธรรมเนียม 1 เหรียญ ต่อบัตรหนึ่งใบ
การเข้าชมภายในอนุสาวรีย์เป็นไปอย่างเรียบง่าย เมื่อผ่านด่านตรวจความปลอดภัยแล้วก็เดินตรงเข้าสู่ลิฟต์โดยสารที่ตั้งอยู่กลางอนุสาวรีย์พาขึ้นไปยังจุดชมวิวโดยมีเจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลและตอบคำถามตลอดเวลา ขณะที่ลิฟต์ค่อย ๆ ไต่ความสูงขึ้นไปอย่างช้า ๆ ก็สามารถมองผ่านกระจกใสของลิฟต์ทะลุออกไปเห็นช่องทางเดินภายในที่เป็นบันไดและผนังที่ล้อมรอบได้อย่างชัดเจน แผ่นหินแกะสลักจำนวนมากบันทึกเหตุการณ์สำคัญ และเรื่องราวการก่อสร้างอนุสาวรีย์ที่ใช้เวลายาวนานเกือบสี่ทศวรรษ รวมถึงประวัติศาสตร์ด้านต่าง ๆ ของกรุงวอชิงตัน ดีซี ซึ่งเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ของประเทศสหรัฐอเมริกาและประวัติศาสตร์โลกอย่างแยกกันไม่ขาด น่าเสียดายที่หน่วยงานผู้รับผิดชอบดูแลอนุสาวรีย์อย่างกรมอุทยานแห่งชาติ (National Park Service ชื่อย่อ NPS) ไม่อนุญาตให้ผู้เข้าชมทั่วไปใช้บันไดเดินขึ้นไปสู่จุดชมวิวเองตั้งแต่ปี ค.ศ. 1976 ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัยและป้องกันเหตุการณ์ที่ผู้เข้าชมอาจทำลายชิ้นงานด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ อย่างไรก็ตาม เมื่อลิฟต์เคลื่อนขึ้นไปถึงระดับความสูงหนึ่งก็สามารถสังเกตความแตกต่างของหินแต่ละชนิด รวมถึงรายละเอียดการก่อสร้างที่แตกต่างกันได้ดังที่กล่าวไปแล้ว
ภาพที่ 2 สัญลักษณ์บนพื้น
ใช้เวลาเพียงไม่นานเมื่อประตูลิฟต์เปิดออกก็มองเห็นสัญลักษณ์ E 500 บนพื้นบอกให้ทราบว่าลิฟต์ได้มาถึงชั้นบนสุดของอนุสาวรีย์หรือจุดชมวิว (Observation Deck) เป็นที่เรียบร้อย ตัวอักษร E มีหมายความว่าประตูลิฟต์นี้เปิดไปสู่ทิศตะวันออกของอนุสาวรีย์ ตัวเลขระบุให้ทราบว่าชั้นนี้อยู่ที่ความสูง 500 ฟุตจากพื้นดิน หรือประมาณ 152 เมตร อนุสาวรีย์วอชิงตันจึงนับเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในกรุงวอชิงตัน ดีซี ในยุคปัจจุบัน และเคยเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในโลกอยู่ระยะเวลาหนึ่งด้วย โดยหากเปรียบเทียบกับสิ่งก่อสร้างที่คุ้นเคยในประเทศไทยก็พบว่าความสูงจากภายนอกของอนุสาวรีย์นั้นสูงกว่าสะพานพระรามแปดอยู่ร่วมสิบเมตร หากแต่มีอายุมากกว่ากันถึงประมาณ 115 ปี
ภาพที่ 3 ช่องกระจกขนาดเล็ก สำหรับมองออกมาภายนอก
เมื่อเดินออกจากลิฟท์ไปแค่ไม่กี่ก้าวก็สามารถมองผ่านช่องกระจกขนาดเล็กออกไปเห็นทิวทัศน์ทางฝั่งตะวันออกของอนุสาวรีย์ สิ่งที่เห็นเป็นสนามหญ้าขนาดใหญ่หลายสนาม รายล้อมด้วยหน่วยงานราชการและพิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงจำนวนมาก เช่น พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แห่งชาติอเมริกัน (National Museum of American History) พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติอเมริกา (National Museum of Natural History) หรือ พิพิธภัณฑ์ยานบินและอวกาศแห่งชาติ (National Air and Space Museum) ที่สุดปลายของสนามหญ้า คือ อาคารรัฐสภาสหรัฐ (U.S. Capitol) และ ห้องสมุดรัฐสภา (Library of Congress) ซึ่งเป็นหนึ่งในห้องสมุดที่ใหญ่ที่สุดในโลก และยังเป็นสถานที่จัดแสดงเอกสารสำคัญในประวัติศาสตร์ของประเทศสหรัฐอเมริกา เช่น เอกสารคำประกาศอิสรภาพฉบับร่าง (Declaration of Independence) หรือบัญญัติว่าด้วยสิทธิพื้นฐานของพลเมือง (Bill of Rights) อีกด้วย
ภาพที่ 4 กรุงวอชิงตัน ดีซี จากมุมสูง
แม้ว่าการเข้าชมด้านในของอนุสาวรีย์วอชิงตันจะใช้เวลาเพียงแค่สั้น ๆ ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง นับเป็นการสัมผัสประวัติศาสตร์เชิงกายภาพที่แสนคุ้มค่ามาก โดยปกติการได้ขึ้นมาอยู่บนสิ่งก่อสร้างอายุถึง 140 ปี ซึ่งเป็นทั้งสัญลักษณ์ของเมืองหลวงและประเทศสหรัฐอเมริกาย่อมเป็นประสบการณ์ที่พิเศษกว่าการมองดูจากภายนอกเพียงอย่างเดียวอย่างแน่นอน อีกทั้งยังได้เห็นภาพกว้างของกรุงวอชิงตัน ดีซี ซึ่งในวันที่อากาศดีก็อาจมองเห็นไปได้ไกลถึงรัฐแมรี่แลนด์ (Maryland) และรัฐเวอร์จิเนีย (Commonwealth of Virginia) เลยทีเดียว
แหล่งข้อมูล
National Park Service. Washington Monument History & Culture. (2022). [Online]. Accessed 2023 Jul 14. Available from: https://www.nps.gov/wamo/learn/historyculture/index.htm
National Park Service. Washington Monument Construction Timeline. (2022). [Online]. Accessed 2023 Jul 14. Available from: https://www.nps.gov/wamo/learn/historyculture/monumentconstruction.htm
Maryland Center for History and Culture. Designing the Washington Monument. (n.d.). [Online]. Accessed 2023 Jul 14. Available from: https://www.mdhistory.org/designing-the-washington-monument/