Museum Core
ตำนานเพลงสาธุการ: เมื่อพระพุทธเจ้าเล่นซ่อนหากับพระอิศวร
Museum Core
02 พ.ย. 66 7K

ผู้เขียน : ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ

               เพลง ‘สาธุการ’ เป็นหนึ่งในเพลงหน้าพาทย์ชั้นสูง โดยทั่วไปใช้บรรเลงเพื่อการน้อมไหว้ และแสดงความเคารพบูชา ทั้งในงานพระราชพิธี และงานของประชาชนทั่วไป แต่ที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เพลงนี้มีตำนานที่มาของเพลงที่สนุกสนานมากเลยทีเดียว

               ตำนานของเพลงสาธุการเป็นเรื่องพระพุทธเจ้าทรงเล่นซ่อนหากับพระอิศวร ความมีอยู่ว่า พระอิศวรท่านไม่พอพระทัยที่เทพยดาทั้งหลายไม่เข้าเฝ้าพระองค์ แต่พากันไปเฝ้าพระพุทธเจ้าแสดงธรรมเทศนา จึงเสด็จไปท้าประลองกับพระพุทธเจ้าโดยการแข่งซ่อนหากัน

               ผลปรากฏว่าเมื่อพระอิศวรซ่อนพระวรกายแล้วพระพุทธเจ้าก็สามารถหาพบได้ในทันที แต่เมื่อถึงคราวพระพุทธเจ้าซ่อนพระวรกายบ้าง พระอิศวรกลับหาไม่พบจนต้องยอมจำนนในที่สุด และแท้จริงแล้วพระพุทธองค์ก็ไม่ได้ไปแอบซ่อนที่ไหนไกล อยู่ข้างบนพระเศียรของพระอิศวรเอง แต่จนแล้วจนเล่าพระอิศวรก็ไม่ยอมละมิจฉาทิฐิลง พระพุทธเจ้าจึงไม่ยอมเสด็จลงมา ท้ายที่สุดพระอิศวรอดรนทนไม่ได้ต้องอ้อนวอน พระพุทธองค์จึงมีพระดำรัสว่า หากพระอิศวรละมิจฉาทิฐิได้จริงแล้วให้นำดุริยางคดนตรีมาประโคมเพลง ‘สาธุการ’ จึงจะเสด็จลงมา พระอิศวรยอมทำตาม เรื่องจึงจบลงแบบแฮปปี้เอนดิ้ง

               คนดนตรีไทยจึงนับถือต่อๆ กันมาว่าหากจะบรรเลงเพลงดนตรีสำหรับเคารพบูชา หรือนอบน้อมต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ต้องใช้เพลงสาธุการเป็นเพลงบรรเลง ด้วยอ้างอิงจากนิทานเรื่องนี้นี่เอง

               ที่สำคัญ คือ จากการที่คนดนตรีไทยถือกันว่าเพลงสาธุการเป็นเพลงสำหรับสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น จึงทำให้เชื่อกันไปว่าเพลงนี้เก่าถึงสมัยอยุธยาโดยไม่มีเหตุผลอะไรมารองรับนอกจากความรู้สึก แต่มีผู้รู้ทางดนตรีไทยบางท่านอธิบายว่าแท้จริงแล้วลักษณะทางดนตรีของเพลงสาธุการนั้นไม่น่าเก่าแก่ไปจนถึงสมัยอยุธยา แต่เป็นเพลงรุ่นกรุงเทพฯ กรุงรัตนโกสินทร์ และอาจจะไม่เก่าไปกว่าสมัยรัชกาลที่ 4 เสียด้วยซ้ำ

               โดยข้อสันนิษฐานนี้สอดคล้องกับข้อมูลจากงานช่างศิลปกรรมที่มีการสร้างรูปพระพุทธเจ้าเล่นซ่อนหากับพระอิศวร ในสมัยรัตนโกสินทร์ แต่ไม่พบในสมัยอยุธยา

 

ภาพที่ 1: การแสดงชุด ‘ตำนานเพลงสาธุการ’

แหล่งที่มาภาพ: https://www.youtube.com/watch?app=desktop&v=FKWeDGN_q4w

 

ภาพที่ 2: ฉากหนึ่งในการแสดงชุด ‘ตำนานเพลงสาธุการ’

แหล่งที่มาภาพ: https://www.youtube.com/watch?app=desktop&v=FKWeDGN_q4w

 

 

               พระพุทธรูปกลุ่มหนึ่งที่สร้างขึ้นในยุคกรุงเทพฯ มีลักษณะเป็นรูปบุคคลทรงวัว และมีพระพุทธรูปอยู่เหนือศีรษะ ซึ่งในตำราพระพุทธรูปปางต่างๆ เรียกพระพุทธรูปปางนี้ว่า ‘พระพุทธรูปปางโปรดพกาพรหม’

               กล่าวอย่างรวบรัด ‘พรหม’ ในศาสนาพุทธแตกต่างจากพรหมสี่หน้าในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ตรงที่มีพระพักตร์ คือหน้าเดียว ซ้ำยังมีอยู่หลายองค์ หลายชนิด ถึงกับแยกพรหมโลก ออกจากสวรรค์ ต่างจากศาสนาพราหมณ์-ฮินดูที่พระพรหมมีอยู่เพียงองค์เดียวเท่านั้น

               เรื่องของ “พกาพรหม” ที่มีอ้างถึงอยู่ในพระไตรปิฎกมีอยู่สองเรื่อง เนื้อหาคล้ายกันในสองพระสูตร คือ พรหมนิมันตนิกสูตร และพกสูตร คือ พกาพรหม (ในพระสูตรว่า พกพรหม) มีดำริไปในทางที่ผิดเพราะคิดว่าฐานะแห่งพรหมนั้นเที่ยง ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย ไม่จุติ ไม่อุบัติ พระพุทธเจ้าจึงเสด็จไปเทศนาถึงความไม่เที่ยงของสรรพสิ่ง จนพกาพรหมเข้าใจในความไม่เที่ยงแท้ของสัตว์โลกในที่สุด

               เรื่องราวในทั้งสองพระสูตรที่ว่าจะต่างกันก็แต่ใน พกสูตร พกาพรหมเข้าใจพระธรรมเทศนาแต่โดยดี แต่ในพรหมนิมันตนิกสูตร พกาพรหมไม่เชื่อในพระธรรมและพยายามแสดงอิทธิเดชด้วยการซ่อนกายแต่เมื่ออยู่ต่อหน้าพระพักตร์ของพระพุทธองค์ก็ไม่สำเร็จ และเมื่อพระพุทธเจ้าแสดงอิทธิปาฏิหาริย์บ้าง พกาพรหมกลับหาไม่พบจนต้องยอมศิโรราบ

               พรหมนิมันตนิกสูตรก็ว่าด้วยเรื่องของการประลองซ่อนตัว แต่ไม่ยักจะซ่อนอยู่บนพระเศียร อย่างไรก็ตาม ชาวสยามในสมัยอยุธยาคงรู้จักพกาพรหมแน่ เพราะคัมภีร์ในพุทธศาสนาเถรวาทอีกเล่มหนึ่งที่เชื่อกันว่าแต่งขึ้นในประเทศไทย อายุไม่เก่าไปกว่า พ.ศ. 1800 อย่าง ฎีกาพาหุง ก็เล่าเรื่องเดียวกันนี้ แต่ขยายความต่อไปว่าพระพุทธเจ้าไปซ่อนพระวรกายอยู่กลางหมู่พรหม

               ไม่ว่าความตรงนี้จะมีมูลอย่างไรก็ดี แต่พระพรหมในพุทธศาสนาไม่เคยมีองค์ไหนที่ทรงโคเลย และแท้จริงแล้วหากว่ากันตามคัมภีร์ในศาสนาพุทธชุดสำคัญอย่างพระไตรปิฎก และอรรถกถาที่ขยายความต่อมา ก็ไม่มีพระพรหมองค์ไหนทรงพาหนะเสียด้วยซ้ำ พระพุทธรูปที่อยู่เหนือรูปบุคคลทรงโคจะกลายเป็น พระพุทธรูปปางโปรดพกาพรหมไปได้อย่างไร?

               ในคัมภีร์สายโลกศาสตร์ที่มักเรียกกันว่าหนังสือไตรภูมิ (ซึ่งมีอยู่หลายฉบับ ไม่ได้มีเฉพาะอยู่แค่ไตรภูมิพระร่วง) ฉบับที่เก่าแก่ที่สุด เขียนขึ้นตั้งแต่ช่วงก่อน พ.ศ. 1100 ชื่อ โลกปราชญาปติ เขียนเป็นภาษาสันสกฤต เพราะเป็นตำราของฝ่ายมหายาน มีเรื่องทำนองเดียวกับตำนานเพลงสาธุการ หากแต่เปลี่ยนชื่อจาก ‘พระอิศวร’ เป็น ‘มหิศรเทพบุตร’ และพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ทรงซ่อนพระองค์อยู่เหนือพระเศียร แต่ประทับอยู่ระหว่างพระเนตร มหิศรเทพบุตรเลยหาไม่พบ

               เรื่องเล่าในโลกปราชญาปติยังมีความยาวกว่าตำนานเพลงสาธุการอีกด้วย เพราะหลังจากนั้นมหิศรเทพบุตรได้ฟังเทศน์จากพระพุทธองค์จนตรัสรู้ธรรม และเมื่อพระเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้วมหิศรเทพบุตรก็ได้เนรมิตพระพุทธรูปขึ้นองค์หนึ่ง แล้วอัญเชิญไปไว้ในมหาวิหาร บนยอดเขามันทคีรี โดยให้หมู่ลิงเป็นผู้ดูแลวิหาร

               อันที่จริงแล้วผู้ที่คุ้นเคยกับเทพปกรณัมอินเดียคงเดาได้ไม่ยากว่า คำว่า ‘มหิศรเทพบุตร’ นั้นก็หมายถึง ‘พระอิศวร’ นั่นเอง

               ชาวพุทธเถรวาทรู้จักตำราฝ่ายมหายานเล่มนี้เพราะมีการแปลเป็นภาษาบาลีในชื่อ โลกบัญญัติ เรื่องพระพุทธเจ้าเล่นซ่อนหากับมหิศรเทพบุตร จึงกลายเป็นที่รับรู้ของฝ่ายเถรวาทไปด้วย แต่นิทานเรื่องนี้คงไม่เป็นที่นิยมนักในอยุธยา จนกระทั่งในยุครัตนโกสินทร์ เมื่อรัชกาลที่ 1 เสด็จขึ้นครองราชย์ก็โปรดให้มีการชำระตำราความรู้ วรรณคดีต่างๆ เป็นจำนวนมาก มีเล่มที่สำคัญเล่มหนึ่งคือ หนังสือไตรภูมิโลกวินิจฉยกถา ซึ่งโปรดให้ชำระจากตำราโลกศาสตร์หลายเล่ม โลกบัญญัติก็เป็นหนึ่งในนั้น นิทานเรื่องที่ว่าจึงกลับมาอยู่ในความรับรู้ของชาวสยามอีกครั้งหนึ่ง ซ้ำยังเพิ่มเติมข้อความไปด้วยว่า ระหว่างที่มหิศรเทพบุตรอัญเชิญพระพุทธรูปไปไว้ในมหาวิหารนั้นได้ ‘เทินไว้เหนือพระเศียร’ จึงไม่น่าแปลกใจที่รูปพระอิศวรทรงโคในสมัยกรุงเทพฯ จะมีพระพุทธรูปเทินไว้อยู่เหนือพระเศียรเช่นกัน

               และยิ่งไม่น่าแปลกใจอีกเช่นกันที่ เพลงสาธุการ จะมีอายุเก่าแก่ไปไม่ถึงยุคกรุงศรีอยุธยาอย่างที่หลายคนมักเข้าใจผิด ในเมื่อตำนานต้นเรื่องที่อ้างกันว่าเป็นที่มาของเพลงสาธุการนั้นเป็นเรื่องที่เพิ่งนิยมกันในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์เท่านั้นเอง

 

ภาพที่ 3: พระพุทธรูปปางโปรดพกาพรหม งานช่างยุคกรุงเทพฯ

ที่ระบียงคตล้อมรอบพระปฐมเจดีย์ จ. นครปฐม

แหล่งที่มาภาพ: https://www.dek-d.com/board/view/3007921

 

ภาพที่ 4: พระพุทธเจ้าเล่นซ่อนหากับพระอิศวร ในรูปพระพุทธเจ้าปรากฏกายอยู่ทั้งบนมงกุฎ

และบนชายผ้าข้างพระเศียรของพระอิศวร ภาพจิตรกรรมยุครัชกาลที่ 4

เขียนบนบานหน้าต่าง วัดพระแก้ววังหน้า กรุงเทพฯ

แกลเลอรี่


ย้อนกลับ