เชื่อว่าหลายคนคงเคยตีตั๋วดูหนังสงครามฟอร์มยักษ์กันมาบ้าง ภาพยนตร์แนวนี้มักตีแผ่เรื่องราวของผู้นำประเทศ นายทหาร หรือแม้แต่นักประดิษฐ์อาวุธทำลายล้างผู้เป็นฟันเฟืองสำคัญของสงคราม อย่างไรก็ตาม ผู้ได้รับผลกระทบจากสงครามกลับไม่ใช่คนเหล่านั้น แต่เป็นคนหาเช้ากินค่ำที่ดิ้นรนเอาตัวรอดไปวันๆ และในวันนี้ผู้เขียนอยากแนะนำให้รู้จักกับหนึ่งนารีผู้อยู่ร่วมสมัยในสงครามโลกทั้งสองครั้ง เธอคือศิลปินผู้สูญเสียหลายสิ่งอย่างในสงคราม แต่หญิงสาวก็ได้เปลี่ยนความเจ็บปวดให้เป็นแรงผลักดันเพื่อก้าวข้ามอุปสรรคในชีวิตและหน้าที่การงาน เธอผู้นี้มีนามว่า “ดาฟเน มาโย (Daphne Mayo)” ดาฟเน มาโยคือใคร เพราะเหตุใดเธอจึงถูกยกย่องในฐานะชัยชนะแห่งวงการงานศิลป์ควีนส์แลนด์นั้น เราจะหาคำตอบไปพร้อมกัน
ภาพที่ 1 ดาฟเน มาโย ประติมากรสตรีชาวออสซี
แหล่งที่มาภาพ: Kerry, Raymond. Portrait of Daphne Mayo. (2014). [Online]. Accessed 2023 July 26. Available from: https://en.wikipedia.org/wiki/File:Portrait_of_Daphne_Mayo.jpg
มาโยมีชื่อเต็มว่า “ลิเลียน ดาฟเน มาโย (Lilian Daphne Mayo)” เธอเกิดที่เมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลียในปีค.ศ. 1895 บิดามารดาของมาโยเป็นชาวอังกฤษที่อพยพมายังดินแดนใหม่ ครั้นอายุได้ 12 ปี มาโยก็ย้ายตามครอบครัวมาอาศัยที่เมืองบริสเบน สถานที่ที่เธอสร้างชื่อเสียงให้เป็นที่ประจักษ์ในอนาคต
มาโยเข้าศึกษาที่โรงเรียนมัธยมสตรีอีตัน (Eton High School for Girls) เธอเป็นเด็กใฝ่รู้ช่างซักถาม อย่างไรก็ตาม มาโยมีโรคประจำตัวคือหอบหืดเรื้อรัง เด็กหญิงจึงต้องออกจากโรงเรียนมาศึกษาต่อที่บ้านโดยมีพ่อแม่และพี่ชายคอยช่วยเหลือ ข้อจำกัดทางร่างกายทำให้มาโยไม่อาจทำกิจกรรมกลางแจ้งเหมือนเด็กทั่วไป แต่จุดอ่อนที่ว่ากลับทำให้เธอค้นพบพรสวรรค์ใหม่ นั่นคือการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะที่โดดเด่นเกินผู้ใด แม้ว่าในสมัยนั้น อาชีพศิลปินจะถูกผูกขาดในหมู่บุรุษเพศ แต่ครอบครัวของมาโยก็สนับสนุนบุตรีอย่างเต็มที่ ส่งผลให้ในปีค.ศ. 1911 มาโยได้รับการตอบรับให้เข้าเรียนที่วิทยาลัยเทคนิคแห่งบริสเบน (Brisbane Central Technical College) ในสาขาหัตถศิลป์ ซึ่งมีนักศึกษาหญิงศึกษาอยู่เพียงหยิบมือในขณะนั้น
แม้มีทักษะศิลปะหลายแขนง แต่ระหว่างศึกษาในวิทยาลัยมาโยก็ค้นพบเส้นทางที่ใช่ในวิชาประติมากรรม เธอสร้างสรรค์ผลงานมากมายในขณะนั้น ไม่ว่าจะเป็นรูปสลัก รูปหล่อ และปูนปั้น คณาจารย์ที่เล็งเห็นพรสวรรค์จึงอนุญาตให้เด็กสาวใช้ห้องทำงานล่วงเวลา ตอนนั้นเองที่มาโยในวัย 18 ปีได้พบรักกับลอยด์ รีส (Lloyd Rees) ศิลปินหนุ่มผู้กลายเป็นคู่หมั้นของเธอในภายหลัง
มาโยสำเร็จการศึกษาในปีค.ศ. 1913 เส้นทางอาชีพของเธอกำลังดำเนินไปอย่างสวยงาม ในปีเดียวกันนั้น ผลงานของมาโยได้รับเลือกให้จัดแสดงในนิทรรศการศิลปะประจำปีแห่งรัฐควีนส์แลนด์ หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นหลายฉบับได้ลงข่าวยกย่องฝีมือประติมากรหญิง มาโยกลายเป็นคนดังชั่วข้ามคืน และในปีค.ศ. 1914 หญิงสาววัย 19 ปีก็ได้รับทุนการศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะศิลปะในทวีปยุโรป มาโยเชื่อว่าตัวเองยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกในครานั้น แต่อนิจจา โชคชะตาได้เล่นตลกกับชีวิตประติมากร เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 อุบัติขึ้นในเวลาเดียวกัน เป็นเหตุให้มาโยต้องอยู่ในออสเตรเลียต่อไป โดยหวังว่าสักวันจะได้ใช้ชีวิตในดินแดนโรแมนติกที่ใฝ่ฝัน
แม้จะไม่ได้ไปต่างประเทศตามที่หวัง แต่มาโยก็ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ด้วยการเดินทางไปศึกษาที่โรงเรียนช่างศิลป์จูเลียนแอชตัน (Julian Ashton Art School) ที่เมืองซิดนีย์ ระหว่างนั้นก็ได้พัฒนาทักษะการแกะสลักภาพนูนต่ำ เธอได้สร้างผลงานชิ้นโบว์แดงในครั้งนั้นด้วยภาพสลักพระกระยาหารค่ำมื้อสุดท้าย (The Last Supper) ที่ต่อมาถูกนำไปประดับแท่นบูชาโบสถ์เซนต์แมรี (Saint Mary’s Church) ในเขตอิปสวิช (Ipswich) ไม่ไกลจากเมืองบริสเบน
หลังรอคอยโอกาสนานหลายปี มาโยก็ได้เดินทางไปอังกฤษในปีค.ศ. 1919 พร้อมกับรีสผู้เป็นคู่หมั้น อย่างไรก็ตาม เมื่อมาถึงกรุงลอนดอน ประติมากรก็ได้พบกับอุปสรรคที่ไม่คาดฝัน เธอถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าเรียนในวิทยาลัยศิลปะที่มีชื่อเสียงขณะนั้นเนื่องจากเป็นสตรี มิหนำซ้ำยังถูกดูแคลนว่าเกิดและเติบโตในแผ่นดินออสซีที่ล้าหลัง มาโยใช้เวลาเกือบปีเพื่อตามหาสถาบันศิลปะที่เหมาะสม ในที่สุดเธอก็ได้รับการตอบรับให้เข้าเรียนที่ราชบัณฑิตยสถานศิลปะ (Royal Academy of Arts) ในสาขาประติมากรรม มาโยสำเร็จการศึกษาที่นั่นในปี ค.ศ.1923 โดยได้รับเกียรตินิยมเหรียญทองจากผลงานการกลับมาของบุตรชายผู้หลงหาย (The Return of The Prodigal Son) งานสลักหินอ่อนลอยตัวที่จารึกนามสตรีออสซีในหน้าประวัติศาสตร์ศิลปะเมืองผู้ดีเป็นครั้งแรก
ภาพที่ 2 มาโย (ขวา) ขณะศึกษาในอังกฤษ
แหล่งที่มาภาพ: Paul's Blog. Daphne Mayo - Brisbane Sculpture. (2020). [Online]. Accessed 2023 July 26. Available from: https://highgatehill-historical-vignettes.com/2020/05/16/daphne-mayo-brisbane-sculptor/
ในปีค.ศ. 1924 มาโยและรีสได้เดินทางไปยังประเทศอิตาลี ทั้งคู่วางแผนตั้งรกรากในประเทศซึ่งเป็นศูนย์กลางศิลปะยุคคลาสสิก ทว่าเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน ริชาร์ด พี่ชายของมาโยเสียชีวิตจากอาการบาดเจ็บและโรคเรื้อรังที่เป็นผลพวงจากการรบในสมรภูมิที่อียิปต์ มาโยตระหนักถึงเงาสงครามที่ตามหลอกหลอนครอบครัวเธออีกครั้ง ทว่าในครั้งนี้ เธอเลือกที่จะปักหลักสู้แทนที่จะหนีจากความรับผิดชอบ มาโยปฏิเสธทุนการศึกษาจำนวนมหาศาลเพื่อเดินทางกลับบริสเบนไปดูแลบุพการีที่โศกเศร้า การตัดสินใจในครั้งนั้นเปลี่ยนชีวิตหญิงสาวตลอดกาล เธอยกเลิกการหมั้นหมายกับรีสไม่นานหลังจากนั้น โดยให้เหตุผลว่าต้องการใช้เวลาสร้างสรรค์ผลงานและทำหน้าที่ในฐานะบุตรีที่เหลืออยู่
แน่นอนว่าในฐานะสตรี มาโยไม่ได้คาดหวังว่าอาชีพประติมากรอิสระจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ ทว่าเมื่อมาถึงบริสเบนในปีค.ศ. 1925 เธอก็ต้องประหลาดใจที่ผู้คนให้การต้อนรับราวกับวีรสตรี หญิงสาวไม่รู้เลยว่าระหว่างที่ใช้ชีวิตในยุโรป ชาวบริสเบนได้ติดตามข่าวสารเธออยู่เสมอ สำหรับพวกเขา มาโยคือวีรสตรีที่สร้างชื่อให้บ้านเกิดเมืองนอน ในยุคที่ชาวอังกฤษดูแคลนคนออสซีว่าเป็นพวกป่าเถื่อน มาโยได้ทำลายอคติที่มีด้วยความสามารถที่เปี่ยมล้น การกลับมาของเธอจึงจุดประกายความหวังของศิลปินออสซีทั้งมวล
นับตั้งแต่ก้าวขาขึ้นฝั่งเมืองบริสเบน มาโยก็ได้รับการติดต่องานไม่ขาดสาย บรรดาคนใหญ่คนโตต่างหมายปองครอบครองชิ้นงานเธอทั้งสิ้น ผลงานส่วนใหญ่มักแฝงกลิ่นอายศิลปะยุคคลาสสิก เป็นผลพวงจากการศึกษาในยุโรปอยู่หลายปี และในปีค.ศ. 1929 มาโยก็ได้สร้างผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต นั่นคือภาพสลักหน้าบันประดับอาคารศาลากลางเมืองบริสเบน ภาพนูนต่ำมีความยาว 16.5 เมตรและสูง 3 เมตร ใช้เวลาเกือบหนึ่งปีในการทำให้แล้วเสร็จ หนังสือพิมพ์เดอะทรูธ (The Truth) ขนานนามผลงานชิ้นนี้ว่า “ชัยชนะของดาฟเน มาโย” เนื่องจากการสร้างสรรค์หน้าบันไม่ใช่เรื่องง่าย มาโยต้องทำงานท่ามกลางอากาศร้อนชื้นนานหลายเดือน ระหว่างนั้นมีบุคคลสำคัญมาเยี่ยมเยียนให้กำลังใจไม่ขาดสาย ทั้งผู้ว่าฯ นายพล และเพื่อนศิลปินอีกมากมาย
แม้ว่าหน้าบันอาคารศาลากลางฯ จะเป็นผลงานสร้างชื่อเสียงระดับนานาชาติ แต่ชิ้นงานที่แสดงตัวตนของมาโยมากที่สุดกลับเป็นภาพสลักประดับอนุสรณ์สงครามในจัตุรัสแอนแซค (Anzac Square) ใจกลางเมืองบริสเบน มาโยเป็นผู้รับผิดชอบงานแกะสลักภาพนูนต่ำเพื่อระลึกถึงทหารออสซีที่สละชีพในสมรภูมิสงครามโลกครั้งที่ 1 ภาพสลักที่ว่าถ่ายทอดความกล้าหาญและมุ่งมั่นของคนหนุ่มที่อาสาเข้าร่วมรบในสงคราม และท่ามกลางทหารเหล่านั้น บุรุษที่ยืนอยู่เบื้องหน้าไพร่พลทั้งหลายถูกออกแบบให้มีใบหน้าคล้ายคลึงกับริชาร์ด พี่ชายที่จากไปของมาโย ผลงานชิ้นนี้แสดงให้เห็นว่า แม้เวลาหมุนผ่านนานหลายปีแต่มาโยก็ยังจดจำความเจ็บปวดที่ได้รับจากสงครามไม่เลือนหาย และพี่ชายที่รักจะอยู่ในความทรงจำของเธอตลอดไป
ภาพที่ 3 ภาพสลักประดับอนุสรณ์สงครามโลกครั้งที่ 1 โดยดาฟเน มาโย
แหล่งที่มาภาพ: Museum of Brisbane. Daphne Mayo working on the Women's War Memorial. (2023). [Online]. Accessed 2023 July 26. Available from: https://www.museumofbrisbane.com.au/wp-content/uploads/2022/04/Daphne-Mayo-working-on-the-Womens-War-Memorial.png
ตั้งแต่ปีค.ศ. 1925 ถึง 1937 มาโยได้สร้างสรรค์งานศิลป์ชิ้นเอกมากมาย ครั้นมองว่าไม่มีภาระคาใจอีกต่อไป มาโยและสหายจึงเดินทางไปยุโรปอีกครั้งเพื่อแสดงฝีมือศิลปินออสซีให้เป็นที่ประจักษ์ อย่างไรก็ตาม หลังจัดตั้งสตูดิโอในอังกฤษได้ไม่นาน มาโยก็ได้รับแจ้งให้เดินทางกลับบริสเบนโดยเร็วที่สุดในปีค.ศ. 1939 นับเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เนื่องจากไม่กี่วันหลังมาโยเดินทางถึงออสเตรเลีย สงครามโลกครั้งที่ 2 ก็เปิดฉากในยุโรปเต็มรูปแบบ และสตูดิโอที่เธอเคยตั้งใจใช้สร้างสรรค์ชิ้นงานก็ถูกระเบิดทำลายไม่เหลือซากภายในปีเดียวกัน
แม้ความหวังของมาโยถูกทำลายลงเพราะสงครามอีกครั้ง แต่ศิลปินก็ยังมุ่งมั่นทำงานศิลปะต่อไป มาโยที่รอดชีวิตจากสงครามใหญ่ได้จัดตั้งสตูดิโอใหม่ทั้งในเมืองบริสเบนและซิดนีย์ เธอสร้างสรรค์ประติมากรรมกลิ่นอายคลาสสิกในยุคที่หลายคนหันมาสร้างชิ้นงานนามธรรมตามสมัยนิยม นอกจากงานศิลปะแล้ว มาโยยังเป็นหนึ่งในผู้จัดตั้งกองทุนศิลปะรัฐควีนส์แลนด์เพื่อสนับสนุนการศึกษาศิลปะแขนงต่างๆ และจัดซื้องานศิลป์ชิ้นสำคัญให้พิพิธภัณฑ์ มาโยเสียชีวิตในปีค.ศ. 1982 ด้วยวัย 87 ปี ทว่าคุณความดีของเธอยังคงถูกกล่าวขานในประวัติศาสตร์ออสซี ในฐานะประติมากรสตรีผู้ไม่ย่อท้อต่อชะตา แม้ชีวาจะถูกสงครามใหญ่ทำลายไปสักกี่ครั้งก็ตาม
แหล่งค้นคว้าอ้างอิง
Beanland, Denver. Brisbane: Australia's New World City - A History of the old Town Hall, City Hall,
And the Brisbane City Council 1985 – 2013. Brisbane: Boolarong Press, 2016.
McKay, Judith. Daphne Mayo: A Tribute to Her Work for Art in Queensland. Brisbane: Friends of
Daphne Mayo, 1983.
McKay, Judith. Daphne Mayo: Let There be Sculpture. Brisbane: Queensland Art Gallery, 2011.