ใครหลายคนอธิบายถึงคำ ‘กุหลาบ’ ในภาษาไทยว่ามีที่มาจากคำว่า “กุล” (gol) ในภาษาเปอร์เซีย (คืออิหร่าน ส่วนภาษาเปอร์เซียบางทีเรียกว่า ภาษาฟาร์ซี, Farsi) ซึ่งมีความหมายเหมือนในภาษาไทยว่า ‘ดอกกุหลาบ'
ส่วนคำว่า ‘กุหลาบ’ (Gulab) ในภาษาเปอร์เซียนั้นกลับแปลว่า ‘น้ำดอกไม้' โดยมีความหมายชี้เฉพาะไปถึง ‘น้ำหอม' เพราะคำว่า 'อาบ' (lab) ที่ออกสำเนียงตามชาวเปอร์เซีย แปลว่า 'น้ำ'
การที่คนไทยออกเสียงเรียกดอกไม้ชนิดนี้ว่า 'กุหลาบ' จึงไม่ได้ลอกมาจากภาษาเปอร์เซียทั้งหมด ไม่อย่างนั้นก็คงออกเสียงว่า กุล’ เฉยๆ ตามชาวเปอร์เซียไปตั้งแต่แรก ส่วนคำว่า ‘กุหลาบ' ในภาษาไทยนั้น ปราชญ์ทางภาษาท่านว่ามาจากคำฮินดีของพวกแขกอินเดียที่ยืมคำว่า 'กุล' ในภาษาเปอร์เซียมาใช้เรียก 'ดอกกุหลาบ' เป็นการเฉพาะ โดยออกเสียงว่า กุหลาบ (gulab) ตรงตัวกับเสียงในภาษาไทย
ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าคนไทยรู้จักดอกกุหลาบของพวกเปอร์เชียโดยผ่านชาวอินเดียมาอีกทอดหนึ่ง เพราะโดยปกติแล้วพ่อค้าในสมัยโบราณเดินทางไปมาเฉพาะในช่วงระยะที่เป็นอาณาเขตของตนเอง
พูดง่ายๆ ว่า ชาวเปอร์เซียนำกุหลาบ (ไม่ว่าจะหมายถึงต้นกุหลาบ เมล็ดพันธุ์ ผลิตภัณฑ์เครื่องหอม หรือในฐานะความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีเครื่องหอม) มาส่งขายให้ยี่ปั๊วคืออินเดีย ก่อนที่สินค้าจะส่งผ่านมาถึงอุษาคเนย์ ซึ่งอาจอยู่ทั้งฐานะผู้บริโภค หรือซาปั๊วที่ส่งสินค้าต่อไปยังจีน
แน่นอนว่าเส้นทางการค้าที่ว่านี้ทำให้คำว่า 'กุหลาบ' แพร่หลายเข้ามาในหมู่ผู้คนที่พูดภาษาไทย ซึ่งมีถิ่นฐานอยู่ในภูมิภาคอุษาคเนย์ พร้อมกับตัวสินค้าเหล่านั้นด้วย
และนี่ก็เป็นร่องรอยที่ทำให้เห็นได้ว่ากุหลาบไม่ใช่พืชพื้นเมืองมาแต่เดิมของอุษาคเนย์ด้วย อย่างน้อยที่สุดก็ไม่มีชื่อพื้นถิ่นสำหรับใช้เรียกจนต้องยืมเอาคำภาษาต่างชาติมาใช้นั่นเอง
ดังนั้นการรับคำว่า ‘กุหลาบ' ที่หมายถึง 'ดอกกุหลาบ' มาจากชาวอินเดียไม่ได้รับคำว่า กุหลาบที่แปลว่าน้ำหอมมาจากเจ้าของคำดั้งเดิมอย่างพวกเปอร์เซียก็ไม่เห็นแปลกอย่างใด
ภาพที่ 1: ดอกกุหลาบหลากสีสัน
แหล่งที่มาภาพจาก: https://www.homefortheharvest.com/rose-color-meaning/
อันที่จริงแล้วคำว่า 'กุล' ของพวกเปอร์เซียก็แปลว่า 'ดอกไม้ทั่ว ๆ ไป' ได้ด้วยเหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องชี้เฉพาะเป็นดอกกุหลาบเสมอไป สำหรับชาวเปอร์เซียในยุคอดีตอันไกลโพ้นแล้ว ดอกกุหลาบเป็นภาพแสดงแทนของดอกไม้ทั้งหมดทั้งมวลก็คงไม่ผิดอะไรนัก
การใช้ดอกกุหลาบเป็นภาพตัวแทนของดอกไม้ทั้งมวลอย่างนี้น่าจะกระจายไปถ้วนทั่วในโลกยุคโบราณ ไม่ได้กระจุกอยู่เฉพาะในหมู่ชาวเปอร์เซียเพียงกลุ่มเดียว อย่างน้อยที่สุด 'แซปโฟ' (Sappho) กวีสาว (เมื่อครั้งกระโน้น) ชาวกรีกก็เคยพิลาปรำพันถึงดอกกุหลาบออกมาเป็นกวีนิพนธ์ความยาว 13 บรรทัด บทหนึ่งเมื่อราว 2,500 ปีมาแล้ว (น่าสังเกตว่าช่วงเวลาที่แซปโฟได้รจนากวีนิพนธ์บทนี้ ใกล้เคียงกับช่วงที่อาณาจักรเปอร์เซียกำลังเรืองรองอยู่พอดี)
กวีนิพนธ์ของของแซปโฟบทนี้มีชื่อว่า 'ลำนำแห่งดอกกุหลาบ' (The Song of the Rose) เล่าถึงการที่ ซุส (Zeus) ราชาแห่งทวยเทพของชาวกรีกได้แต่งตั้ง 'ดอกกุหลาบ' ให้เป็น 'ราชินี' แห่งบุปผชาติทั้งมวล แถมไท้เธอยังทรงประทานมงกุฎราชย์กับดอกกุหลาบไว้เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งจอมกษัตรีอีกด้วย
สำหรับใครที่เคยผ่านตาบทกวีชิ้นนี้ในภาคภาษาอังกฤษมาบ้างอาจคุ้นอยู่ว่ากษัตริย์แห่งทวยเทพอย่างซุสแต่งตั้งดอกกุหลาบให้เป็น 'ราชา' แห่งมวลดอกไม้ ไม่ใช่เป็น ‘ราชินี' เกี่ยวกับเรื่องนี้ผู้เขียนขออนุญาตให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เมื่อ พ.ศ. 2436 อลิซาเบ็ธ บาร์เร็ตต์ บราวนิ่ง (Elizabeth Barrett Browning) กวีสาวชาวอังกฤษในศตวรรษที่ 19 เคยถอดความต้นฉบับกวีนิพนธ์บทนี้จากภาษากรีกโบราณ ซึ่งเธอระบุออกมาเป็นคำว่า 'King’ คือ 'พระราชา' และเป็นสำนวนถอดความฉบับของบราวนิ่งที่แพร่หลายไปทั่ว โดยเฉพาะในโลกอินเตอร์เน็ต
ปัญหาคืองานวิชาการหลายชิ้นระบุว่า ในกวีนิพนธ์บทนี้ซุสท่านมอบตำแหน่งราชินีให้ดอกกุหลาบต่างหากไม่ใช่ตำแหน่งพระราชา หลักฐานอื่นในวัฒนธรรมกรีกโบราณก็ระบุว่า ดอกกุหลาบเป็นราชินีของดอกไม้ ไม่ใช่พระราชา ตัวอย่างเช่น กวีกรีกในคริสต์ศตวรรษที่ 2 (ราว พ.ศ. 650-750) อย่าง อคิลลิส ตาติอุส (Achilles Tatius) ก็เคยเขียนคำว่ากุหลาบเป็นราชินีของมวลดอกไม้ไว้ในกวีนิพนธ์ของเขาที่อุทิศถึงลำนำแห่งดอกกุหลาบของแซปโฟไว้ในชื่อเดียวกัน ไม่ต่างอะไรกับบทกวีของพวกโรมันที่ชื่อ ‘มิริลลัม’ (Myrillam) ที่ก็ระบุเช่นกันว่า ดอกกุหลาบนั้นคือราชินีของมวลหมู่ดอกไม้ทั้งหลาย
ในวัฒนธรรมกรีกโบราณดอกกุหลาบจึงมีสถานะเป็นภาพตัวแทนของราษฎรไม้ดอกทั้งมวล ในทำนองเดียวกับที่คำว่า 'กุล' ในภาษาเปอร์เซีย หมายถึงได้ทั้ง 'ดอกกุหลาบ' และ 'ดอกไม้ทั่ว ๆ ไป’
ภาพที่ 2: ภาพของแซปโฟ กวีผู้ประพันธ์ลำนำแห่งดอกกุหลาบ วาดจากจินตนาการของศิลปิน
ชื่อ ชาร์ลส์ เมลกิน (Charles Mengin) เมื่อ พ.ศ. 2420
แหล่งที่มาภาพจาก: https://en.wikipedia.org/wiki/Sappho
ภาพที่ 3: ภาพของแซปโฟ ที่ฐานของภาชนะดินเผาสำหรับใส่ขนสัตว์ของพวกกรีกโบราณ
อายุราว 2,500 ปีมาแล้ว นับเป็นภาพของกวีหญิงคนนี้ที่เก่าแก่ที่สุด
แหล่งที่มาภาพจาก: https://en.wikipedia.org/wiki/Sappho
ภาพที่ 4: อลิซาเบ็ธ บาร์เร็ตต์ บราวนิ่ง
กวีสาวผู้แปล ลำนำแห่งดอกกุหลาบของแซปโฟ เมื่อ พ.ศ. 2436
แหล่งที่มาภาพจาก: https://www.britannica.com/biography/Elizabeth-Barrett-Browning
ภายหลังจากผู้สืบทอดความรุ่งเรืองจากกรีกอย่างอาณาจักรโรมันล่มสลาย เพราะถูกพวกอานารยชนเข้าตีกรุงโรมจนแตกพ่าย ยุโรปค่อยๆ เดินเข้าสู่ยุคกลาง หรือยุคหนึ่งที่เคยถูกเรียกอย่างดูแคลนว่า 'ยุคมืด' และถูกกล่าวหาเป็นยุคที่วิทยาการต่างๆ เข้าสู่ช่วงถดถอย แน่นอนว่าสถานภาพเยี่ยงราชินีของดอกกุหลาบก็เลือนหายไปจากแผ่นดินยุโรปพร้อมกับความรุ่งเรืองทางวิทยาการอื่นๆ ด้วย
แม้ว่าการสิ้นสุดลงของจักรวรรดิโรมันตะวันออก หรือไบแซนไทน์ ที่กรุงคอนสแตนติโนเปิล (เมืองอิสตันบูล ประเทศตุรกีปัจจุบัน) ทำให้ชาวยุโรปปลดแอกตัวเองออกจากยุคกลางได้สำเร็จ เพราะความรู้วิทยาการของกรีกโรมันที่ถูกเก็บรักษาไว้ในจักรวรรดิแห่งนี้ก็ได้หลั่งไหลกลับเข้าไปยังดินแดนยุโรปด้วย ยุคสมัยต่อจากนั้นจึงถูกเรียกว่า 'เรอเนสซองส์' (Renaissance) หรือ 'ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ' ซึ่งหมายถึงศิลปะวิทยาการจากโลกยุคคลาสิกอย่าง กรีก-โรมัน
แต่ก็ไม่มีหลักฐานเพียงพอว่าสถานภาพของกุหลาบในฐานะราชินีของมวลดอกไม้ในสมัยกรีกนั้นกลับมาอยู่ในห้วงคิดคำนึงของชาวยุโรปในยุคนั้นบ้างหรือไม่ อย่างไรก็ตาม มีหลักฐานว่าในราชสำนักของควีนวิคตอเรีย (Queen Victoria ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. 2380-2444) แห่งอังกฤษ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของยุคสมัย วัฒนธรรม และศิลปะแบบที่เรียกว่า “วิคตอเรียน” นับเป็นช่วงเวลาที่คาบเกี่ยวกันกับที่บราวนิ่งได้แปล ‘ลำนำแห่งดอกกุหลาบ’ ของแซปโฟ ออกมาเป็นภาษาอังกฤษ และในช่วงสมัยวิคตอเรียนนี้เองที่ดอกกุหลาบได้กลับมากลายเป็นราชินีของมวลบุปผชาติอีกครั้ง พร้อมกับที่ได้กลายเป็นเครื่องหมายของดอกไม้แห่งความรัก
เพราะข้อความประโยคหนึ่งใน ‘ลำนำแห่งดอกกุหลาบ' ของแซปโฟได้กล่าวไว้อย่างพาฝันว่า “กุหลาบคือลมหายใจของความรัก” และจึงไม่แปลกอะไรที่ในวัฒนธรรมแบบวิคตอเรียนจะยกให้ดอกกุหลาบเป็นสัญลักษณ์ของ ‘ความรัก’ และกลายเป็นดอกไม้ใช้มอบเพื่อสื่อรักให้กับคู่หมายไปในที่สุด