Museum Core
Edinburgh Castle จากปราสาทที่ถูกโจมตีมากที่สุดสู่แลนด์มาร์คสำคัญของสกอตแลนด์
Museum Core
23 พ.ย. 66 913

ผู้เขียน : รหัท กิจจริยภูมิ

               ในพื้นที่ยุโรปเมื่อครั้งสมัยยุคกลาง ปราสาทเปรียบเสมือนทั้งป้อมปราการ ที่พักอาศัยของกษัตริย์ เชื้อพระวงศ์ เหล่าบรรดาชนชั้นสูง และสัญลักษณ์แห่งอำนาจ ความรุ่งโรจน์ของพื้นที่ดินแดนนั้น แม้สถานะของปราสาทที่หลงเหลืออยู่ปัจจุบันอาจถูกเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีผู้คนมาเยี่ยมเยียนไม่ขาดสาย แต่ประวัติศาสตร์และเรื่องราวต่าง ๆ ของปราสาทที่เคยเกิดขึ้นในอดีตนั้นยังคงเป็นเรื่องที่เล่าขานต่อกันเรื่อยมา

 

ภาพที่ 1 ปราสาทเอดินบะระที่ตั้งอยู่ในใจกลางเมืองอย่างสง่างาม ไม่ว่าจะยืนอยู่ตรงไหน

 

               ปราสาทเอดินบะระ (Edinburgh Castle) ที่ตั้งตระหง่านอย่างสง่างาม อยู่ใจกลางเมืองหลวงของประเทศสกอตแลนด์เป็นหนึ่งตัวอย่างของปราสาทโบราณกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ ในปัจจุบันมี
นักท่องเที่ยวมากมายหลั่งไหลเข้ามาเที่ยมชมจนติดอันดับต้นๆ ของสกอตแลนด์ และพื้นที่ในเครือ สหราชอาณาจักรแทบทุกปี

               นอกจากนี้ปราสาทยังเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เมืองเอดินบะระได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี ค.ศ. 1995 ด้วยความกว้างขวางของปราสาท จึงมีพื้นที่หลายส่วนที่น่าสนใจและค้นหา ไม่ว่าจะเป็นโบสถ์น้อย
คุกใต้ดิน พระราชวัง พิพิธภัณฑ์และอนุสรณ์สถานเพื่อระลึกถึงวีรกรรมทหารชาวสก็อตในสงครามต่างๆ ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่ยังเป็นที่ตั้งของมงกุฎแห่งสกอตแลนด์ และหินแห่งสโคน (Stone of Scone) สมบัติของชาติที่ถูกใช้ประกอบพิธีบรมราชาภิเษกของพระเจ้าชาร์ลที่ 3 เมื่อไม่นานมานี้

               เชื่อหรือไม่ว่า ก่อนที่ปราสาทเอดินบะระจะกลายมาเป็นแลนด์มาร์คที่สำคัญของประเทศอย่างที่เห็นในปัจจุบัน ที่นี่เคยถูกจดจำว่าเป็นปราสาทที่มีการรบราฆ่าฟันจากการถูกล้อมโจมตีมากที่สุดถึง 23 ครั้ง ในประวัติศาสตร์ พร้อมกับเรื่องราวการลอบสังหาร คุมขังทรมานและประหารชีวิตนักโทษมากมายอย่างโหดเหี้ยม

 

ภาพที่ 2 St. Margaret’s Chapel

 

               ปราสาทแห่งนี้ตั้งอยู่บนเขาหินคาสเซิลร็อค (Castle Rock) ซึ่งเป็นหินภูเขาไฟที่ก่อตัวขึ้นเมื่อ 340 ล้านปีที่แล้ว พื้นที่ตรงนี้เดิมเคยเป็นพื้นที่ตั้งรกรากของผู้คนมาตั้งแต่ยุคสัมฤทธิ์แล้วค่อยกลายเป็นปราสาทอย่างเป็นรูปเป็นร่างช่วงศตวรรษที่ 12 ในรัชสมัยของกษัตริย์เดวิดที่ 1 (David I)

               อาคารเล็กหลังหนึ่งในปราสาทที่ไม่อาจละเลยได้เลย คือ โบสถ์น้อยนักบุญมาร์กาเร็ต (St. Margaret’s Chapel) ที่สร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1130 เพื่ออุทิศแด่ราชินีมาร์กาเร็ต (Margaret, Queen of Scots) ผู้เป็นพระราชมารดาของกษัตริย์เดวิดที่ 1 และเป็นเชื้อพระวงศ์เพียงคนเดียวของสกอตแลนด์ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นนักบุญ โบสถ์หลังนี้เป็นอาคารเพียงหลังเดียวที่มีอายุยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ก่อสร้างมา ทว่า โบสถ์น้อยหลังนี้เริ่มถูกลืมเลือนไปเมื่อถูกกลายสภาพใช้เป็นที่เก็บดินปืนในช่วงทศวรรษที่ 1500 กระทั่งปัจจุบันจึงได้ถูกบูรณะเติมแต่งด้วยกระจกสเตนกลาสที่บริเวณหน้าต่าง และเปิดให้เป็นสถานที่จัดงานแต่งงานในบางครั้ง

 

ภาพที่ 3 พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 1 

แหล่งที่มาภาพ: https://www.bbc.co.uk/scotland/history/articles/edward_i/

 

               หลังจากปราสาทเอดินบะระกลายเป็นศูนย์กลางอำนาจแห่งราชวงศ์สกอตแลนด์อยู่นานหลายศตวรรษ และยังคงทำศึกสงครามกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างอังกฤษ (ขณะนั้นยังไม่ถูกรวมเป็นประเทศเดียวกัน) จนกระทั่งสมัยพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 1 แห่งอังกฤษ ผู้ที่ได้รับสมญานามว่าราชาผู้ปราบสกอต (Hammer of the Scots) นำกองทัพอังกฤษบุกสกอตแลนด์และสามารถเข้ายึดปราสาทได้สำเร็จในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1296 ทำให้สกอตแลนด์สูญเสียความเป็นเอกราชอย่างสมบูรณ์ กลายเป็นประเทศราชของอังกฤษไปโดยปริยาย และกว่าสกอตแลนด์จะทวงคืนปราสาทนี้กลับมาได้ก็ใช้เวลานานถึงปี ค.ศ. 1314

 

ภาพที่ 4 The Black Dinner

แหล่งที่มาภาพ: https://www.historynaked.com/black-dinner-fact-fiction/

 

               แม้จะได้ปราสาทและเอกราชกลับคืนมาแล้ว แต่สกอตแลนด์ก็ไม่ได้กลับมาสงบสุขตลอดไป ด้วยแม้ไม่มีอังกฤษมาเป็นคู่ขัดแย้งให้สู้รบกัน หากกลับกลายเป็นว่าเชื้อพระวงศ์สายสกอตนี้เองที่ห้ำหั่นเพื่อแย่งชิงราชบัลลังก์กันเอง

               เหตุการณ์ฉาวโฉ่สำคัญที่กลายเป็นตำนานที่ไม่น่าจดจำในประวัติศาสตร์ และเป็นแรงบันดาลใจให้ซีรีส์ชื่อดังอย่างเรื่องมหาศึกชิงบัลลังก์ (Game of Thrones) นำเค้าโครงเรื่องนี้ไปใช้ในฉากวิวาห์สีเลือด (Red Wedding) นั่นคือเหตุการณ์มื้อค่ำสีดำ (The Black Dinner) ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้น ณ สถานที่แห่งนี้

               “มื้อค่ำสีดำ” เกิดขึ้นเมื่อค่ำคืนวันที่ 24 พฤศจิกายน ค.ศ. 1440 เมื่อเซอร์อเล็กซานเดอร์ ลิฟวิงสตัน (Sir Alexander Livingston) และเซอร์วิลเลียม ไคร์ตัน (Sir William Crichton) เสนาบดีผู้สำเร็จราชการแทนพระเจ้าเจมส์ที่ 2 (James II of Scotland) ยุวกษัตริย์สกอตแลนด์ ได้เชิญวิลเลียม เอิร์ลแห่งดักลาส (William, Earl of Douglas) และน้องชาย ผู้มีอิทธิพลมากในฐานะสมาชิกชนชั้นสูงสกอตแลนด์มาอย่างยาวนานเข้าร่วมรับประทานอาหารค่ำกับกษัตริย์ 

               งานเลี้ยงในค่ำคืนนั้นถูกจัดเป็นอย่างดี และพี่น้องตระกูลดักลาสทั้งสองก็ได้รับการดูแลเป็นพิเศษ เนื่องด้วยเป็นแขกคนสำคัญ ทุกอย่างดูเหมือนเป็นปกติจนกระทั่งเมื่อมีข้ารับใช้ได้นำจานขนาดใหญ่ที่มีหัววัวดำที่พึ่งถูกตัดสดๆ เข้ามาจึงเป็นสัญญาณให้ทหารทำการล้อมจับกุมพี่น้องดักลาสไปประหารชีวิตทันทีโดยไม่มีการตัดสินใดๆ แม้ยุวกษัตริย์จะร้องขอให้ไว้ชีวิตยังไงก็ไร้ผล แม้ไม่มีบันทึกอย่างละเอียดนักเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้แต่ชะตากรรมที่เกิดขึ้นอย่างแน่ชัดกับทั้งสองคนในท้ายที่สุดก็เป็นความตายอยู่ดี การกำจัดสมาชิกตระกูลดักลาสในมื้อคำสีดำนี้เป็นเหมือนการกำจัดเสี้ยนหนามต่อเหล่าเสนาบดี และมีแนวโน้มเป็นภัยต่อบัลลังก์

               ตลอดระยะเวลาหลายร้อยปี ปราสาทเอดินบะระได้ผ่านศึกสงครามมาแล้วมากมายและยังคงยืนหยัดได้ตลอดทุกครั้ง ในช่วงหลังศตวรรษที่ 17 ปราสาทถูกเปลี่ยนโฉมให้เป็นฐานทัพและค่ายทหารอย่างเต็มรูปแบบ ทำให้บริเวณโดยรอบปราสาทเต็มไปด้วยปืนใหญ่มากมายหลายกระบอกประจำการอยู่เพื่อป้องกันข้าศึกที่อาจมารุกรานได้ทุกเมื่อ นอกจากนี้ยังมีโรงพยาบาลและคุกทหารอยู่ในปราสาทที่สามารถศึกษาวิถีชีวิตและเรื่องราวการสู้รบของเหล่าทหารชาวสกอตได้ที่พิพิธภัณฑ์ในปราสาท

               แม้ปัจจุบันปราสาทเอดินบะระไม่ได้มีสถานะเป็นศูนย์บัญชาการกองทัพดังเช่นอดีตอีกต่อไป แต่ทุกวันเวลาบ่ายโมงตรง (ยกเว้นวันอาทิตย์ วันศุกร์ประเสริฐ และวันคริสต์มาส) จะมีทหารหนึ่งนายนำลูกกระสุนปืนใหญ่เพื่อบรรจุและเตรียมยิงขึ้นฟ้า เรียกว่า One o’clock Gun เสียงดังกระหึ่มไปทั่วเมือง เพื่อบอกเวลาเหมือนสมัยก่อนที่ยังไม่มีนาฬิกาจนกลายเป็นประเพณีที่ปฏิบัติสืบต่อกันมา อีกทั้งแสดงให้เห็นว่าปราสาทแห่งนี้ยังเป็นป้อมปราการที่มีกองทหารรักษาการณ์อยู่ และยังคงแข็งแกร่งเหมือนเช่นอดีตไม่เปลี่ยนแปลง โดยมีนักท่องเที่ยวมากมายต่างรุมล้อมเป็นสักขีพยาน

 

ภาพที่ 5 One o’clock Gun

 

แหล่งข้อมูลอ้างอิง

BBC (n.d.). James II, King of Scots 1437 – 1460. [online] BBC. Available at: https://www.bbc.co.uk/scotland/history/articles/james_ii/.

Edinburgh Geological Society (n.d.). Castle Rock. [online] Edinburgh Geological Society. Available at: https://www.edinburghgeolsoc.org/geological-site/castle-rock/.

Steward Society (n.d.). History of the Stewarts | Battles and Historic Events | The Black Dinner. [online] The Steward Society. Available at: https://www.stewartsociety.org/history-of-the-stewarts.cfm?section=battles-and-historical-events&subcatid=2&histid=19.

Wilson, C. (2023). Revealed: Scotland’s top ten tourist attractions. [online] The Herald. Available at: https://www.heraldscotland.com/business_hq/23434246.edinburgh-castle-retains-crown-top-tourist-attraction/.

Yeoman, P. (2014). Edinburgh Castle. Historic Environment Scotland.

แกลเลอรี่


ย้อนกลับ