เมืองคยองจู (Gyeongju) อาจไม่ใช่หมุดหมายหลักของนักท่องเที่ยวไทยส่วนใหญ่เมื่อเทียบกับกรุงโซลและปูซาน แต่ที่นี่มีความน่าสนใจเพราะเคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรชิลลา (Silla Kingdom) และยังขึ้นทะเบียนกับยูเนสโกเป็นมรดกโลกในนาม “พื้นที่ประวัติศาสตร์เมืองคยองจู” ด้วย
อาณาจักรชิลลาก่อตั้งขึ้นบริเวณตะวันออกเฉียงใต้ของคาบสมุทรเกาหลี ตระกูลที่เป็นชนชั้นปกครองคือตระกูลคิม (Kim clans) และตระกูลพัค (Park clans) ในช่วงเวลาที่อาณาจักรชิลลาก่อตัวขึ้นยังมีอีกสองอาณาจักรใหญ่ในคาบสมุทรเกาหลีอยู่ก่อนแล้วคือ อาณาจักรโคกรูยอ (Goguryeo Kingdom) ที่เรืองอำนาจอยู่ทางตอนเหนือของคาบสมุทรเกาหลีและยังขยายดินแดนเข้าไปถึงแมนจูเรียด้วย ขณะที่อาณาจักรแพ็กเจ (Baekje Kingdom) ปกครองแถบตะวันตกของคาบสมุทรเกาหลี ยุคนี้จึงเรียกว่ายุคสามอาณาจักร (Three Kingdoms of Korea)
กระทั่งอาณาจักรชิลลาร่วมเป็นพันธมิตรกับราชวงศ์ถังของจีนปราบอาณาจักรแพ็กเจและโคกรูยอลงได้ ถือเป็นการสิ้นสุดยุคสามอาณาจักร รวมเวลาที่อาณาจักรชิลลาปกครองดินแดนบนคาบสมุทรเกาหลีตั้งแต่ราว 57 ปีก่อนคริสตกาลถึงค.ศ. 935 มีกษัตริย์ปกครองถึง 56 พระองค์เป็นเวลายาวนานเกือบหนึ่งพันปี
พื้นที่ประวัติศาสตร์เมืองคยองจูได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปีค.ศ. 2000 ด้วยเหตุผลสำคัญที่ว่ามีสถานที่และอนุสรณ์สถานจำนวนมากที่สะท้อนพัฒนาการของสถาปัตยกรรมทางพระพุทธศาสนาและฆราวาสในเกาหลี และมีสถานที่และอนุสรณ์สถานในเมืองคยองจูที่สะท้อนถึงความสำเร็จด้านวัฒนธรรมที่โดดเด่นตลอดระยะเวลาที่อาณาจักรชิลลาปกครองคาบสมุทรเกาหลี
ตลอดเส้นทางนับแต่ผู้เขียนออกจากสถานีรถโดยสารเมืองคยองจูไปที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติคยองจู(Gyeongju National Museum) จะผ่านสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ ได้แก่ สุสานกึมวานชอง (Geumgwanchong Tomb) สุสานแทรึงวอน (Daereungwon Ancient Tomb) และหอดูดาวชอมซองแด (Cheomseongdae Observatory) รวมทั้งอาคารต่างๆ ในสไตล์บ้านโบราณฮันอก (Hanok) สมกับคำเรียกขานพื้นที่ประวัติศาสตร์เมืองคยองจูว่า “พิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง” (open-air museum)
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติคยองจูแบ่งเป็นหลายอาคาร เริ่มต้นจากอาคารหลังแรกที่มีห้องจัดแสดง “ประวัติศาสตร์ชิลลา” เป็นห้องแรก โดยอธิบายถึงการก่อตั้งและพัฒนาการของชิลลาว่าเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ สันนิษฐานว่าเริ่มมีผู้คนอาศัยอยู่ในแถบคยองจูย้อนไปได้ราว 40,000 ถึง 10,000 ปีก่อน ซึ่งมีการจัดแสดงวัตถุในช่วงยุคหินใหม่และยุคทองแดง กระทั่งเริ่มก่อตั้งอาณาจักรชิลลาราว 57 ปีก่อนคริสตกาลที่บริเวณตะวันออกของลุ่มแม่น้ำนักดง (Nakdong river)
ห้องที่สอง “ชิลลา อาณาจักรแห่งทองคำ” จัดแสดงวัตถุโบราณที่ทำจากทองคำ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจของผู้ปกครอง ตัวแทนการเติบโตทางการเมืองและวัฒนธรรมของอาณาจักร วัตถุที่ทำจากทองคำที่ขุดค้นได้จากสุสานต่างๆ เช่น มงกุฎ ต่างหู แหวน กำไลข้อมือ ดาบ และเครื่องบังเหียนม้า ชาวชิลลามีประเพณีการฝังวัตถุทำจากทองคำโดยมีความเชื่อว่าจะทำให้ชีวิตหลังความตายของผู้วายชนม์สงบสุขชั่วนิรันดร์ รวมทั้งเพิ่มอำนาจของผู้มีชีวิตที่มอบของดังกล่าวแก่ผู้ล่วงลับ ทั้งนี้ วัตถุจัดแสดงที่เป็นไฮไลท์ในห้องนี้เป็นดาบทองคำและมงกุฎทองคำที่ขุดค้นได้จากสุสานชอนมาชง (Cheonmachong Tomb) ซึ่งนักวิจัยสรุปว่าเป็นสุสานของพระเจ้าโซจี (Soji) และพระเจ้าจีจึง (Jijeung) กษัตริย์องค์ที่ 21 และ 22 ของราชวงศ์ชิลลา และห้องที่สาม “ความรุ่งเรืองแห่ง
ชิลลา” แสดงถึงความรุ่งเรืองทางวัฒนธรรมของอาณาจักร โดยมีวัตถุจัดแสดงเกี่ยวกับการก่อสร้างป้อมปราการเพื่อป้องกันการรุกรานของอาณาจักรโครกรูยอและแพ็กเจ รวมทั้งการผนวกอาณาจักรข้างเคียงของชิลลา
ภาพที่ 1 มงกุฎทองคำและเข็มขัดทองคำที่ค้นพบในสุสานชอนมาชงอายุราวศตวรรษที่ 6
ขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติของชาติ (National Treasure)
ภาพที่ 2 ต่างหูทองคำที่พบในสุสานหลายแห่ง
ถัดมาเป็นอาคารที่สองห้องนิทรรศการจัดแสดงศิลปะชิลลาซึ่งเกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาส่วนใหญ่ วัตถุที่จัดแสดงรวบรวมมาจากแหล่งขุดค้นอย่างวัดฮวังยงซา (Hwangryongsa) วัดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของอาณาจักร
ชิลลา สิ่งจัดแสดงที่เป็นไฮไลท์เป็นพระไภษัชยคุรุ (Bhaisajyaguru) หรือพระพุทธเจ้าทางการแพทย์เป็นพระพุทธรูปสัมฤทธิ์ปิดทองอายุราวค.ศ. 800 ที่พบจากวัดบังยุลซา (Baengnyulsa) นับเป็นหนึ่งในสามพระพุทธรูปสำคัญที่สุดของอาณาจักรชิลลา น่าเสียดายที่พระหัตถ์สองข้างหักหายไป ทว่าภาพถ่ายเมื่อปีค.ศ. 1917 พบว่ายังมีพระหัตถ์ทั้งสองข้างอยู่ หากได้ชมวัตถุจริงจะพบว่าจีวรพลิ้วไหวงดงามมาก
ภาพที่ 4 พระไภษัชยคุรุ พระพุทธเจ้าที่เชื่อว่ารักษาโรคได้
ตรงข้ามกับอาคารนี้เป็น “ห้องนิทรรศการโวลจี” รวบรวมวัตถุที่ขุดค้นได้จากพระราชวังทงกุงและสระโวลจี (Donggung Palace and Wolji Pond) มีโมเดลจำลองพระราชวังและเรือไม้ขนาดใหญ่ที่ขุดพบบริเวณ
สระโวลจี กระเบื้องหลังคา ชิ้นส่วนประดับหลังคา จานและช้อนสัมฤทธิ์ เศษชิ้นส่วนจานหรือชามพอร์ซเลน (Porcelain) แบบจีน สะท้อนถึงการค้าระหว่างอาณาจักรชิลลากับราชวงศ์ถังของจีน โดยเครื่องเคลือบสีเขียวมีแหล่งผลิตจากแหล่งเตาเผาเยี่วโจวเหยาในมณฑลเจ้อเจียง (Zhejiang) ขณะที่พอร์ซเลนผลิตที่แหล่งเตาเผา
ซิ่งโจวเหยาในมณฑลเหอเป่ย (Hebei) นอกจากนี้ยังพบเครื่องประดับที่ทำจากกระดูกสัตว์ที่แกะสลักลวดลายนกและดอกไม้คล้ายกับที่พบในเมืองนารา ประเทศญี่ปุ่น สะท้อนถึงการค้าระหว่างญี่ปุ่นกับคาบสมุทรเกาหลีในเวลานั้น
นอกอาคารมีนิทรรศการกลางแจ้งจัดแสดงโบราณวัตถุที่น่าสนใจอีกหลายชิ้น โดยเฉพาะระฆังแห่งพระเจ้าซองด็อกมหาราช (Bell of King Seongdeok) เป็นระฆังเก่าแก่ที่สุดใบหนึ่งในเกาหลี เดิมตั้งอยู่ที่
วัดบงด็อกซา (Bongdeoksa) หลังจากที่วัดถูกทำลายก็ถูกย้ายไปหลายแห่งจนกระทั่งมาตั้งอยู่ที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ในปีค.ศ. 1975 อักษรบนระฆังบรรยายว่าพระเจ้าคยองด็อก (King Gyeongdeok กษัตริย์องค์ที่ 35) พยายามสร้างระฆังขนาดใหญ่เพื่อรำลึกถึงพระเจ้าซองด็อก (กษัตริย์องค์ที่ 33) แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ต่อมาพระเจ้าแฮคง
(King Hyegong กษัตริย์องค์ที่ 36) โอรสของพระเจ้าคยองด็อกสร้างระฆังสำเร็จเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ค.ศ. 771
ภาพที่ 5 ระฆังศักดิ์สิทธิ์แห่งพระเจ้าซองด็อก ระฆังเก่าแก่ที่สุดใบหนึ่งในเกาหลีใต้
พิพิธภัณฑ์คยองจูเก็บรักษาวัตถุโบราณจากยุคอาณาจักรชิลลาถึงกว่า 350,000 ชิ้น แม้ว่าผู้เขียนจะได้ชมเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นก็ยังรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับฝีมือของคนโบราณเมื่อกว่าสองพันปีก่อน โดยเฉพาะเครื่องประดับทองคำที่สะท้อนฝีมือช่างและความรุ่งเรืองของอาณาจักรชิลลาได้เป็นอย่างดีแม้มีอุปสรรคด้านภาษาอยู่บ้างเพราะป้ายคำอธิบายภาษาอังกฤษมีข้อมูลน้อยกว่าภาษาเกาหลี ต้องกลับมาค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมในอินเทอร์เน็ต
อีกหนึ่งในไฮไลท์แหล่งท่องเที่ยวสำคัญของเมืองคยองจูเป็นพระราชวังทงกุงและสระโวลจีที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามของพิพิธภัณฑ์ แม้ว่าอาคารต่างๆ จะถูกจำลองขึ้นใหม่แต่มีการเปิดไฟประดับสวยงามในยามค่ำคืน ดึงดูด
นักท่องเที่ยวได้มากทีเดียว ยิ่งหากมาเที่ยวในช่วงปลายเดือนมีนาคม ดอกซากุระบานก็จะได้ชมสวนซากุระภายในบริเวณพระราชวังด้วย
ข้อมูลอ้างอิง
พิพาดา ยังเจริญ. (2556). ประวัติศาสตร์เกาหลีตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20: การแข่งขันและแทรกแซงจากต่างชาติ อาณานิคม และชาตินิยม. กรุงเทพ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย