ข้อความใน ‘พระราชพงศาวดารเหนือ’ ซึ่งชำระขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1 แต่ต้นฉบับดั้งเดิมนั้นเก่าแก่ไปจนถึงรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์ แห่งกรุงศรีอยุธยา มีใจความตอนหนึ่งเล่าว่า ‘พระร่วง’ แห่งเมืองสวรรคโลก กับน้องชายคือ เจ้าฤทธิกุมาร ได้เสด็จไป ‘เมืองจีน’ เพราะโกรธที่กรุงจีนไม่มาช่วยพระองค์ทำพิธีลบศักราช ดังนั้นจึงตั้งใจไปเอาพระยากรุงจีนมาเป็นข้ารับใช้ตนเอง
ทั้งคู่เสด็จไปทางเรือ เมื่อเดินทางถึงก็เกิดปาฏิหาริย์ มีหมอกลงหนาทึบจนทั่วทั้งกรุงจีนไม่เห็นแสงเดือนแสงตะวัน พระยากรุงจีนคิดหาทางแก้ไข ทางหนึ่งจึงส่งคนไปดูที่มหาสมุทรแล้วพบว่า พระร่วงสองคนพี่น้องนั่งเรือเดินทางมา พระยากรุงจีนทราบเข้าก็นึกถึงคำพุทธทำนายของเมืองตนเองที่ว่าจะมีคนไทยสองพี่น้องเดินทางมาแสวงหาคู่ครอง คนหนึ่งได้เป็นเจ้าแห่งชมพูทวีปและจะลบศักราชพระพุทธเจ้า
เมื่อคิดได้ดังนี้แล้ว พระยากรุงจีนจึงเชิญพระร่วงสองพี่น้องเข้ามาในวัง ให้พระร่วงนั่งบนบัลลังก์ แล้วตนเองถวายบังคมต่อพระร่วง จากนั้นยกพระราชธิดาให้ แถมยังเอาตรามังกร ผ่าออกเป็นสองซีก ซีกหางให้พระราชธิดานำกลับเมืองสวรรคโลก (นัยว่า พระธิดาองค์นี้เป็นคนสำคัญมาก) พร้อมกับพระร่วง แล้วแต่งสำเภาลำหนึ่ง มีเครื่องราชบรรณาการเต็มลำไปส่งพระร่วงกลับเมืองอีกด้วย
แม้ว่านิทานเรื่องนี้เต็มไปด้วยเรื่องราวที่กล่าวเกินจริงและไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่กลับมีส่วนที่สอดคล้องกับข้อมูลทางประวัติศาสตร์หลายชิ้นที่แสดงให้เห็นว่าเคยมีกษัตริย์ที่มีเชื้อสายของวงศ์พระร่วง หรือวงศ์สุโขทัยเคยเสด็จไปเมืองจีน
‘พระร่วง’ ที่ถูกกล่าวถึงในพระราชพงศาวดารเหนือข้างต้นคือ ‘เจ้านครอินทร์’ หรือ ‘สมเด็จพระ
นครินทราธิราช’ กษัตริย์รัฐสุพรรณภูมิ (ครองเมืองสุพรรณบุรี พ.ศ. 1914-1929 ครองกรุงศรีอยุธยา พ.ศ.
1952-1958) เป็นหลานของขุนหลวงพ่องั่ว หรือพระบรมราชาธิราชที่ 1 แห่งกรุงศรีอยุธยา (ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. 1894-1916) และมีเชื้อสายราชวงศ์สุโขทัย (เกี่ยวดองกับราชวงศ์สุโขทัยผ่านทางพระราชมารดา) ถือเป็น
เชื้อสายพระร่วง
เจ้านครอินทร์ เมื่อครั้งอยู่เมืองสุพรรณบุรีได้เคยเสด็จไปเมืองจีน แล้วจักรพรรดิจีนมอบช่างครื่องปั้นดินเผามาสอนทําสังคโลกที่เมืองสุโขทัย และที่ลุ่มน้ำน้อย (เขตจังหวัดสิงห์บุรี ปัจจุบัน) ซึ่งเป็นพื้นที่ในปริมณฑลอำนาจของราชวงศ์สุพรรณภูมิของพระองค์
ต่อมาด้วยการอุดหนุนของจักรพรรดิจีนผ่านกองทัพเรือของเจิ้งเหอ (ซำปอกง) นายพลขันทีคนสำคัญของจักรพรรดิหย่งเล่อ เจ้านครอินทร์จึงยึดกรุงศรีอยุธยาได้สำเร็จ และขึ้นครองราชย์เป็น ‘สมเด็จพระนครินทร์ราชา’ จึงทำให้ ‘เตาแม่น้ำน้อย’ กลายเป็นแหล่งผลิตเครื่องปั้นดินเผาของกรุงศรีอยุธยาไปด้วย
ภาพที่ 1 เตาแม่น้ำน้อย
ภาพที่ 2 ภาชนะเครื่องปั้นดินเผาจากเตาแม่น้ำน้อย
กรมศิลปากรได้เคยสรุปความสำคัญของเตาแม่น้ำน้อยในหนังสือ ‘เตาแม่น้ำน้อย’ ตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2531 ผู้เขียนจึงได้ย่อยข้อความให้กระชับและสั้นลงอีกทอดหนึ่งแล้วยกมาให้อ่านกัน ดังนี้
หลักฐานที่พบในการสำรวจและขุดค้นซากเรือสำเภาโบราณที่จมอยู่ในอ่าวไทย และในท้องทะเลต่างประเทศ มีผลิตภัณฑ์ประเภท “ไหสี่หู” ที่ผลิตจากแหล่งเตาแม่น้ำน้อยจํานวนมาก โดยแหล่งเรือต่างๆ เหล่านี้ มีระยะเวลาการอับปางอยู่ในช่วงตั้งแต่ต้นพุทธศตวรรษที่ 21 ถึงต้นพุทธศตวรรษที่ 24
ในการสำรวจและขุดค้นซากเรือสำเภาที่จมอยู่ในท้องทะเลอ่าวไทย และซากเรือเดินทะเลที่จมอยู่ในน่านน้ำต่างประเทศบนเส้นทางการเดินเรือค้าขายในสมัยโบราณ ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 20-24 เช่น แหล่งเรือคราม เรือพัทยา เรือกระตาด เรือสีชัง 1, 2 และ 3 เรือรางเกวียน แหล่งเรือสมุย และแหล่งเรือที่ดอนไห ปากน้ำคลองวาฬ ประจวบคีรีขันธ์ พบว่ามีไหสี่หูขนาดใหญ่ ไหสี่หูขนาดกลาง ขนาดเล็ก รวมถึงภาชนะดินเผา เนื้อแกร่งที่เป็นผลผลิตจากแหล่งเตาแม่น้ำน้อย จมอยู่ในซากเรือจำนวนมาก และในแหล่งเรือจมในต่างประเทศก็พบเศษไหสี่หูขนาดกลางที่ผลิตจากแหล่งเตาแม่น้ำน้อยด้วย ได้แก่
นอกจากนี้ยังพบไหที่ผลิตจากเตาแม่น้ำน้อยตามเมืองท่าโบราณชายฝั่งคาบสมุทรไทย-มลายาด้านอ่าวไทย เช่น พัทลุง นครศรีธรรมราช ประจวบคีรีขันธ์ ตลอดจนในเกาะบอร์เนียว และประเทศบรูไนอีกด้วย
ภาพที่ 3 เครื่องปั้นดินเผาที่จมอยู่ใต้ทะเลพร้อมเรือสินค้า
ภาพที่ 4 ไหสี่หูที่กู้ขึ้นมาจากท้องทะเล
ไหสี่หูเคลือบสีน้ำตาลแกมเขียวคล้ำที่พบในแหล่งเรือจมในอ่าวไทย บางใบบรรจุอาหารที่ทำจากปลาอย่างไหที่พบในเรือสีชัง 3 บ้างบรรจุยางสน หรือผงชัน มีหลายใบบรรจุไข่เป็ด จึงอาจกล่าวได้ว่า บรรดาผลิตภัณฑ์ประเภทไหสี่หูขนาดต่างๆ จากแหล่งเตาแม่น้ำน้อยที่พบในแหล่งเรือจมเหล่านี้ มีหน้าที่เป็นภาชนะบรรจุสินค้าที่เป็นผง, อาหาร หรือของเหลว ตัวภาชนะที่ผลิตจากเตาแม่น้ำน้อยที่พบในแหล่งเรือจมนั้น ไม่ได้เป็นตัวสินค้าแต่เป็นบรรจุภัณฑ์ต่างหาก
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาถึงการจำหน่ายที่แหล่งผลิต คือ เตาแม่น้ำน้อยเองแล้ว ภาชนะเหล่านี้ก็กลายเป็น ‘สินค้า’ ที่ถูกพ่อค้าแม่ขายนำไปบรรจุสินค้าของตัวเองอีกทอดหนึ่ง
นอกจากนี้ยังพบว่ามีการใช้ท่อน้ำดินเผาผลิตจากแหล่งเตาแม่น้ำน้อยในกิจการประปาหลวงและระบบระบายน้ำในเมืองลพบุรี จึงเชื่อว่าเริ่มมีขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ. 2199-2237) อีกทั้งพบในพระที่นั่งบรรยงก์รัตนาสน์ที่สร้างขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาบุรุษ (พระเพทราชา, กลางพุทธศตวรรษที่ 23) กับหมู่พระที่นั่งในเขตพระราชฐานชั้นในพระนครศรีอยุธยา รวมถึงพบกระเบื้องปูพื้นขนาด 30x30 เซนติเมตร ที่ใช้ปูพื้นทั่วไปในวัดไชยวัฒนาราม ซึ่งสร้างขึ้นในรัชสมัยพระเจ้าปราสาททอง (พ.ศ. 2172-2199)
หลักฐานทั้งในแหล่งเรือจม และแหล่งอื่นๆ ดังที่ได้กล่าวมาทั้งหมดข้างต้นนี้ชี้ให้เห็นว่า ผลิตภัณฑ์จากเตาแม่น้ำน้อยได้แพร่กระจายออกไปตามพื้นที่ต่างๆ ตั้งแต่ช่วงราวพ.ศ. 2000 หรือหลังจากสมัยของสมเด็จพระนครินทราชาธิราช ‘พระร่วง’ ผู้เคยเสด็จไปเมืองจีนแล้วนั่นเอง
ภาพที่ 5: ประติมากรรมลอยตัว รูปสัตว์ผสมระหว่างสิงห์ ช้าง และมกร ผลิตจากเตาแม่น้ำน้อย
จัดอยู่แสดงที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อินทร์บุรี
ภาพที่ 6: ท่อน้ำดินเผา พบที่เตาแม่น้ำน้อย จัดอยู่แสดงที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อินทร์บุรี