เชื่อว่าหลายคนเคยรับรู้ ได้ยินหรือคุ้นหูกับชื่อเมืองฮิโรชิมะ และนางาซากิ สองเมืองในประเทศญี่ปุ่นที่เคยโดนระเบิดปรมาณู และมีผู้คนล้มตายกันมากมาย ผู้เขียนจำได้ว่าคุณครูสมัยประถมเล่าเรื่องนี้ให้ฟังและยังจดจำความรู้สึกตอนนั้นได้ดี สิ่งที่ฝังใจอยู่เสมอเป็นความน่ากลัวและอันตรายมากของระเบิดปรมาณู คุณครูเล่าให้ฟังว่าเมืองทั้งเมืองมอดไหม้จนแทบไม่เหลืออะไรเลย ครั้งนี้ผู้เขียนได้มาเยือนและเรียนรู้เรื่องนี้อีกครั้งด้วยตาตนเองที่พิพิธภัณฑ์ระเบิดปรมาณู เมืองนางาซากิ (Nagasaki Atomic Bombing Museum)
การเดินทางไปพิพิธภัณฑ์สะดวกมากด้วยรถราง (Tram) ประจำเมืองนางาซากิที่มีให้บริการและราคาไม่แพงเพราะเป็นสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่รัฐต้องจัดหาให้บริการแก่ประชาชน เมื่อลงจากรถจำเป็นต้องเดินเท้าไปที่พิพิธภัณฑ์ โดยก่อนถึงอาคารต้องผ่านบริเวณที่ตั้งบอร์ดแสดงแผนที่ขอบเขตความเสียหายจากระเบิดปรมาณูที่ถล่มเมืองนี้ว่าเป็นอย่างไร พร้อมอธิบายความเสียหายที่เกิดขึ้น ซึ่งจากข้อมูลบนบอร์ดที่ปรากฏเมืองนางาซากิตั้งอยู่บนเกาะคิวซู เป็นเมืองท่าที่สำคัญและตั้งอยู่ในทำเลที่สวยงามเป็นที่ราบที่มีภูเขาขนาบ อันที่จริงระเบิดลูกนี้ต้องถล่มเมืองโคคุระ (Kokura) ที่เป็นเมืองท่าที่สำคัญอีกแห่งที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเกาะ แต่เช้าวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 1945 ท้องฟ้าเหนือน่านฟ้าเมืองโคคุระขมุกขมัวไม่เป็นใจ เครื่องบินทิ้งระเบิดวนอยู่ 3 รอบ จึงเปลี่ยนแผนทิ้งระเบิดลงที่เมืองนี้แทน ตอนที่เกิดระเบิดมีแสงสว่างจ้ามากและมีเสียงกึกก้องคล้ายปฐพีคำราม ความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นวงกว้างและหนักหนามาก มีจำนวนผู้เสียชีวิตถึง 73,884 คน ผู้บาดเจ็บ 74,909 คน และผู้ไร้ที่อยู่ 120,820 คน ทำความเสียหายในพื้นที่เป็นบริเวณกว้างถึง 6.7 ตารางกิโลเมตร
ภาพที่ 1: บอร์ด Extent of Damage แสดงขอบเขตขนาดความเสียหายที่เกิดขึ้น
ทั้งนี้ จากข้อมูลบนบอร์ดยังทำให้เห็นขอบเขต หรือขนาดความเสียหายมากมายมหาศาลที่เกิดขึ้น และเมื่อมองบริเวณถัดมาในมุมที่กว้างขึ้นก็เห็นลานเป็นวงกลมซ้อนชั้นกัน ตรงนี้ก็คือจุดที่ระเบิดตกลงมา และมีพื้นที่ให้นำดอกไม้ พวงมาลัยมาวางเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์และความสูญเสียในครั้งนั้นด้วย
ภาพที่ 2: จุดที่ระเบิดลง
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น เมื่อเดินไปตามทางที่พิพิธภัณฑ์จัดไว้ให้ก็เดินผ่านรูปปั้นผู้หญิงอุ้มเด็ก ทำให้ผู้เขียนจินตนาการไปว่าน่าจะเป็นรูปปั้นของแม่อุ้มลูก รูปปั้นนี้สามารถสื่อออกมาได้ดีว่าคุณแม่นั้นยังสาว หน้าตาดี แต่งกายดี อุ้มเด็กน้อยช้อนไว้ด้วยทั้งสองแขน ส่วนเด็กน้อยปล่อยแขนห้อยลงมา แววตาของแม่ดูเศร้าสร้อยชวนให้รู้สึกหดหู่มาก มีแผ่นป้ายเขียนอธิบายไว้ 2 บรรทัด บรรทัดแรกเขียนว่า 1945 บรรทัดที่สอง คือ 8.9.11:02 เพื่อสื่อสารกับคนดูว่า ระเบิดเกิดขึ้นในปีค.ศ. 1945 เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม เวลา 11.02 น. ทำความหายนะอย่างใหญ่หลวงให้กับเมืองนี้
ภาพที่ 3: รูปปั้นผู้หญิงอุ้มเด็ก
หลังจากเดินเป็นระยะทางพอสมควร ผู้เขียนเดินมาถึงบริเวณพิพิธภัณฑ์ก็พบว่าตำแหน่งที่ตั้งของอาคารพิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่บนเนินที่ต้องเดินขึ้นบันไดต่อไปอีก ทั้งนี้ พิพิธภัณฑ์มีลิฟต์ไว้ให้บริการ แต่ก็เน้นให้บริการสำหรับ
ผู้สูงอายุและผู้พิการเป็นพิเศษ
นอกจากเคาน์เตอร์จำหน่ายบัตรเข้าชมตามปกติแล้ว พิพิธภัณฑ์ยังมีการติดตั้งเครื่องจำหน่ายบัตรอัตโนมัติหลายเครื่องไว้ให้บริการด้วย หากเริ่มคุ้นชินกับการใช้เครื่องลักษณะนี้แล้วก็รู้สึกสะดวกและรวดเร็ว ถัดมาจากจุดจำหน่ายบัตรเข้าชมที่เป็นศูนย์กลางจะมีทางเข้าชมนิทรรศการที่แบ่งออกเป็น 2 ฝั่ง ซ้ายและขวา โดย
ผู้เขียนเลือกเข้าไปชมทางซ้ายมือ ลักษณะทางเดินทำเป็นบันไดเวียนที่ออกแบบได้น่าสนใจดี บันไดจะเริ่มนับเวลาจาก ณ ปัจจุบันแล้วย้อนถอยหลังไปเรื่อย ๆ หากปีไหนมีเหตุการณ์สำคัญก็จะมีคำอธิบายประกอบจนกระทั่งมาถึงปีท้ายสุด คือ ปีคริสตศักราชที่ 1945
ก้าวแรกเมื่อเข้าไปเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ที่มีจอมอนิเตอร์ยักษ์กำลังเล่าเรื่องอยู่ ภาพบนฉากรับเป็นเหมือนรูปวาด หรือรูปวาดเค้าโครงร่างที่ไม่ลงในรายละเอียด ภาพที่ได้เห็นครั้งแรกเป็นรูปของผู้หญิงคนหนึ่งอยู่กับลูกสองคน (แม้เรื่องจะถูกเล่าด้วยภาษาญี่ปุ่นที่ผู้เขียนฟังไม่ออก และได้แต่อ่านตัวอักษรคำบรรยายที่เป็นภาษาอังกฤษ แต่ก็สามารถสร้างให้มีอารมณ์ร่วมกับเรื่องเล่าได้มากมายอย่างน่าเหลือเชื่อ) ซึ่งเล่าเรื่องว่าตนเองเป็นแม่บ้านมีลูกสาวสองคน วันที่ระเบิดลงผู้เล่าบอกไม่ทันตั้งตัว ไม่รู้อะไรเลย รู้แต่บ้านพังลงมา ได้แต่รีบอุ้มลูกทั้งสองหนีออกมา คนโตตัวหนักหน่อย ส่วนคนเล็กอุ้มไว้แนบอก ทำอะไรไม่ถูกเลย สภาพชุมชนแถวนั้นราบคาบไปหมด และที่สำคัญนึกถึงสามีที่ไปทำงานไม่รู้จะเป็นอย่างไรบ้าง และก็บรรยายสภาพที่เกิดขึ้น จนสามวันถัดมาก็ยังไม่เห็นสามีกลับบ้าน จึงเริ่มคิดว่าตนและลูกจะอยู่ได้อย่างไรเมื่อหัวหน้าครอบครัวไม่กลับบ้าน และไปหาสามีถึงที่ทำงาน แต่สภาพที่ทำงานของสามีก็เป็นแต่ซากปรักหักพังเช่นกัน หากแต่ยังไม่ยอมแพ้ ผู้หญิงคนนั้นขอไปสำรวจด้วยตาตนเองอย่างละเอียด แล้วก็พบร่างของชายผู้เป็นสามีที่มีสภาพไหม้เกรียมแต่ยังพอดูออกว่าเป็นมนุษย์และน่าจะเป็นร่างของสามี ผู้หญิงคนนั้นได้แต่กอบเถ้านั้นไว้ด้วยหัวใจที่แตกสลาย คนฟังก็รู้สึกเศร้าสะเทือนใจตามไปด้วยเช่นกัน
จากนั้นก็มีเรื่องเล่าเรื่องถัดไปเล่าต่อไปเรื่อยๆ ผู้เขียนทราบภายหลังว่าโซนนี้ คือ Nagasaki National Peace Memorial Hall (คนละส่วนกับพิพิธภัณฑ์ระเบิดปรมาณู) ซึ่งเป็นห้องโถงที่ออกแบบให้ผู้เข้าชมสามารถเดินชมได้จนรอบ มีรถเข็นเด็กและเก้าอี้รถเข็นสำหรับผู้พิการ หรือผู้สูงอายุไว้ให้บริการด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้เขียนประทับใจด้วยสะท้อนให้เห็นว่าพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ใส่ใจการบริการผู้ชมทุกกลุ่มวัย (Universal Design)
ภาพที่ 4: รถเข็นเด็ก และ เก้าอี้รถเข็นสำหรับผู้พิการ หรือ ผู้สูงอายุ พร้อมให้บริการ
หลังจากที่ผู้เขียนเดินวนในห้องโถง 2-3 รอบ ก็พบว่าเดินกลับมาที่เดิม และรู้สึกแปลกใจว่าทำไมไม่ค่อยมีผู้ชม รวมถึงเนื้อหานิทรรศการของพิพิธภัณฑ์ไม่มีเรื่องเกี่ยวกับระเบิดปรมาณูอย่างที่ควรจะเป็น จึงเดินไปที่ทางออกแล้วพบว่าผู้เขียนเดินเข้าไปผิดพิพิธภัณฑ์ หากเลือกเดินไปทางขวามือจากจุดจำหน่ายบัตรก็พบพิพิธภัณฑ์ระเบิดปรมาณูแล้วนั่นเอง
สิ่งแรกที่ปะทะสายตาเมื่อเข้าไปในพิพิธภัณฑ์เป็นนาฬิกาโบราณในสภาพที่ผ่านการใช้งานมายาวนาน ทั้งยังชำรุดทรุดโทรมมาก เข็มนาฬิกาชี้ไปที่เวลา 11:02 น. และบอกว่าวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ.1945 ถัดมามีซากปรักหักพังและสิ่งของที่ชำรุดจากเหตุการณ์นี้มาจัดแสดง เช่น กล่องข้าวของเด็กนักเรียนที่ถูกความร้อนเผาจนมอดไหม้ เห็นแก้วพร้อมกระดูกมือที่หลอมละลายรวมกัน นอกจากนี้ก็มีภาพเด็กชายแบกศพน้องที่เสียชีวิตไปแล้ว ยิ่งอ่านอย่างละเอียดก็ยิ่งสะเทือนใจและรู้สึกหัวใจแตกสลาย
ณ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ สิ่งที่ได้เห็นเป็นภาพเด็กนักเรียนญี่ปุ่นนับหลายสิบคนมาทัศนศึกษา แต่ละคนล้วนมีสมุดอยู่ในมือ ขะมักเขม้นกับการดูนิทรรศการและจดข้อมูล ดูแล้วน่าภูมิใจแทนประเทศญี่ปุ่นมีเยาวชนที่เป็นกำลังสำคัญของชาติสนใจใฝ่เรียนรู้มาก
ตัวนิทรรศการจัดแสดงให้ข้อมูลเกี่ยวกับการสร้างระเบิดปรมาณูจากสารกัมมันตภาพรังสีพลูโตเนียม 15 และทำงานอย่างไร ระหว่างเดินชมนิทรรศการก็จะเห็นทั้งข้าวของที่เสียหาย รูปภาพของความหายนะที่เกิดขึ้น รวมถึงการชมภาพยนตร์แสดงภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งพิพิธภัณฑ์สามารถนำเสนอเรื่องราวได้เป็นอย่างดีก่อให้เกิดอารมณ์ที่รู้สึกสะเทือนใจเป็นสำคัญ จนกระทั่งเดินมาถึงทางออกก็พบกับพวงมาลัยหลากสีที่เป็นมาลัยนกกระเรียนกระดาษพับนับพันตัว ซึ่งในความเชื่อโบราณของคนญี่ปุ่นเชื่อถือว่า 'นกกระเรียน' เป็นตัวแทนแห่งโชคลาภ ความสุข และการมีอายุยืนยาว รวมถึงมีนัยยะแฝงขอให้มี “สันติภาพ” อีกด้วย
ภาพที่ 5: พวงมาลัยนกกระเรียนพับหลากสีสัน
สุดท้าย ผู้เขียนขอแนะนำพิพิธภัณฑ์แห่งนี้สำหรับผู้ที่ได้มาเยือนเมืองนางาซากิ ไม่ควรพลาดที่นี่ เพราะได้เรียนรู้หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวกับระเบิดปรมาณู และสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ควรจดจำไปตราบนานเท่านาน และควรช่วยกันป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น ณ ที่ใดในโลกอีก นอกจากนี้ไม่ไกลจากพิพิธภัณฑ์ก็มีสวนสันติภาพ (Peace Park) ที่มีรูปปั้นสันติภาพตั้งเด่นเป็นสง่าที่มีความหมายในเชิงสัญลักษณ์ (มือขวาชูขึ้นไปบนฟ้า หมายถึงการเตือนถึงอันตรายจากระเบิดนิวเคลียร์ ส่วนมือซ้ายที่แผ่ออกไปแสดงสัญลักษณ์ถึงขอความสงบจงมีชั่วนิรันดร์) สวนสันติภาพแห่งนี้ทั้งสะอาดร่มรื่น สบายตา และมีรูปปั้นที่หลายประเทศส่งมาเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์นี้ สวนนี้ช่วยทำให้ผ่อนคลาย รู้สึกว่าโลกนี้ยังคงสวยงามอยู่ และต้องช่วยกันดูแลโลกของเราต่อไป
ภาพที่ 6: หนึ่งในรูปปั้นที่ประเทศต่างๆ ส่งมาเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์ในสวนสันติภาพนางาซากิ