“ไทยและลาว” นามของสองรัฐชาติปัจจุบัน หรือ “สยามและล้านช้าง” ในอดีต มีประวัติศาสตร์และเรื่องราวที่เกี่ยวพันกันอย่างแยกไม่ขาด ตามพงศาวดารแรกเริ่มระบุว่าทั้งสยามและล้านช้างก่อร่างสร้างราชธานีรวบรวมอาณาจักรอย่างไล่เลี่ยกัน ปฏิเสธสงคราม และเจริญสัมพันธไมตรี ดังที่เอกสารลาวระบุว่าพระรามาธิบดีแห่งอยุธยาได้ตอบกลับสาส์นของพระเจ้าฟ้างุ้มแห่งล้านช้างที่กำลังขยายอำนาจว่า
“เรานี้เป็นลูกพ่อเดียวแม่เดียวกันมาแต่สมัยขุนบรมโพ้นแล้ว…”
พระองค์ตกลงเขตแดนและเสนอบรรณาการเพื่อที่ “...อาณาจักรของเราทั้งสองจะได้เป็นพี่น้องกันชั่วกาลนานแล”
เมื่อย้อนกลับไปในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 คราวสยามมีภัยคุกคามจากพม่า ราชสำนักอยุธยาและล้านช้างเคยประกาศสัญญาไมตรีต่อกัน พร้อมให้สร้าง “พระธาตุศรีสองรัก” ขึ้น ณ พรมแดนระหว่างทั้งสองอาณาจักร โดยเนื้อความของสัญญานั้น มีความบางส่วน (อ้างอิงจากจารึกหลักจำลองซึ่งสมบูรณ์กว่า) ว่า
“ขอจงเอาเป็นเอกสีมาปริมณฑลเป็นอันเดียวกัน เกลี้ยงกลมงามมณฑลเท่าพงศ์พันธุ์ลูกเต้าหลาน เหลน อย่าได้ชิงช่วงล่วงด่านแดนแสนหญ้า อย่าได้กระทําโลภเลี้ยวแก่กัน จนเท่าเสี้ยงพระอาทิตย์พระจันทร์ตกลงมาอยู่เหนือแผ่นดินอันนี้เทอญ”
ภาพที่ 1 พระธาตุศรีสองรัก อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย สถานที่รำลึกถึงไมตรีระหว่างสยามและล้านช้าง
มีจารึกหลักจำลองของสัญญาตั้งอยู่เคียงข้าง (จารึกหลักจริงได้ถูกฝรั่งเศสเคลื่อนย้ายไปจนชำรุด
และปัจจุบันอยู่ที่หอพระแก้วเวียงจันทน์)
แม้ข้อเท็จจริงในอดีตกาลยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ หากแต่สามารถสะท้อนให้เห็นถึงมุมมองของผู้คนที่เล่าซ้ำส่งทอดต่อกันถึงความรู้สึกเป็นมิตรไมตรีกันในยุคสมัยนั้น แต่เรื่องเล่านี้เป็นแต่เพียงไมตรีช่วงแรกเริ่มของประวัติศาสตร์ ก่อนที่ความขัดแย้งทั้งหลายจะเปลี่ยนโฉมหน้าของสยามและล้านช้าง ทั้งเขตแดน ผู้คน และความรู้สึกเรื่อยมาจนปัจจุบัน สองดินแดนนี้ยังเป็น บ้านพี่เมืองน้อง เพื่อนบ้าน หรือยังมีความเคลือบแคลงแบบระแวงเป็น ศัตรู
เมื่อปีพ.ศ.2321 ธนบุรีรวบรวมกำลังพลจากหัวเมืองต่าง ๆ กรีธาทัพทั้งทางบกและน้ำโขง โจมตีนครล้านช้างเวียงจันทน์และจำปาศักดิ์ เวียงจันทน์ต้านทัพได้ 4 เดือนเศษจึงยอมแพ้ ในคราวนั้นนอกจากกวาดต้อนชาวลาวเวียงจันทน์เป็นเชลยเพื่อใช้เป็นทรัพยากรแรงงาน สยามยังได้อัญเชิญพระพุทธรูป 2 องค์ คือ พระแก้วมรกตและพระบาง พระพุทธรูปสำคัญจากเวียงจันทน์มาสู่สยาม ซึ่งปัจจุบันพระแก้วมรกตกลายเป็นพระพุทธรูปสำคัญคู่บ้านคู่เมืองของไทย (กรณีพระบางประเทศไทยได้ส่งคืนสู่หลวงพระบางแล้ว) แม้มีการตีความว่า พระแก้วมรกตมีรูปแบบศิลปะเชียงแสนและกำเนิดในล้านนามาก่อนที่จะเป็นของล้านช้างก็ตาม อาจกล่าวได้ว่า พระแก้วมรกตเป็นหลักฐานพยานแห่งสงครามในอดีตที่ผู้คนยังจดจำและให้ความสำคัญที่สุด รวมถึงมีโบราณวัตถุจากล้านช้างอีกจำนวนหนึ่งที่ไทยยังคงครอบครองอยู่ในปัจจุบัน
ผู้เขียนมีความสนใจศึกษาในประเด็นประวัติศาสตร์ยุครัฐจารีตของอุษาคเนย์ และค้นคว้าข้อมูลในฐานะมือสมัครเล่น โดยเฉพาะเรื่องประวัติศาสตร์ของไทยและลาวพบว่าหลักฐานทางประวัติศาสตร์ต่างๆ ยังคงหลงเหลืออยู่ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งรอบตัวเรา จึงจุดประกายให้เดินทางไปค้นหาสถานที่ต่าง ๆ ในอดีต อย่างกรุงเทพมหานครก็เต็มไปด้วยร่องรอยของความสัมพันธ์ไทยและลาว เมืองหลวงแห่งนี้สร้างขึ้นโดยแรงงานกวาดต้อนจำนวนมากในห้วงสมัยที่มีการทำสงครามขยายอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นแรงงานลาว มลายู เขมร จาม
อย่างพื้นที่แขวงบางยี่ขัน บริเวณริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาด้านที่ติดกับสวนหลวงพระราม 8 เคยเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของชุมชนชาวลาวและเชื้อพระวงศ์จากราชวงศ์เวียงจันทน์ โดยมีหลักฐานที่หลงเหลืออยู่เป็นแนวกำแพงเก่าเรียกกันว่า “กำแพงวังเจ้าอนุวงศ์” ตั้งขึ้นตามพระนาม “เจ้าอนุวงศ์” กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์เวียงจันทน์ที่เคยประทับที่นี่ ขณะที่ถูกนำตัวมาเป็นองค์ประกันหลังสงคราม พระองค์เคยสนิทสนมกับราชสำนักจักรีอย่างยิ่ง ทรงเป็นพระสหายที่ผูกพันกับพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ต่อมาภายหลัง
เจ้าอนุวงศ์ทรงประกาศทำสงครามกับสยามแต่ก็พ่ายแพ้ ส่งผลให้เวียงจันทน์และจำปาศักดิ์ถูกทำลาย โดยเฉพาะเวียงจันทน์ถูกสยามสั่งห้ามตั้งเป็นเมืองและแทบไร้ผู้คนอยู่ราว 65 ปี
ภาพที่ 2 กำแพงเก่าวังเจ้าอนุวงศ์บริเวณชุมชนบางยี่ขัน
สภาพของกำแพงวังเจ้าอนุวงศ์ขาดการดูแลรักษาจนเมื่อหลายปีก่อนมีกำแพงบางส่วนถล่มลงมากลายเป็นกองอิฐ แต่ปัจจุบันได้รับการซ่อมแซมแล้ว หากเดินลัดเลาะจากกำแพงผ่านเข้าไปในพื้นที่ตั้งชุมชนจะพบวัดคฤหบดี อันเป็นที่ประดิษฐาน พระแซกคำ พระพุทธรูปล้านนาอีกองค์หนึ่งที่ถูกนำมาจากเวียงจันทน์ (เดิมอยู่เชียงใหม่) ในเขตฝั่งธนบุรียังมี “พระแจ้ง” หรือ “พระอรุณ” พระพุทธรูปล้านช้างซึ่งถูกอัญเชิญจากเวียงจันทน์มาประดิษฐานที่วัดอรุณราชวราราม เนื่องด้วยชื่อพระพุทธรูปพ้องกันกับชื่อวัด แล้วยังมี พระแสนเมืองเชียงแตง พระพุทธรูปศิลปะล้านช้างที่อัญเชิญจากล้านช้างจำปาสักมาประดิษฐานไว้ที่วัดหงส์รัตนารามราชวรวิหาร รวมถึง พระฉันสมอ รูปแบบศิลปะจีนที่ถูกอัญเชิญจากเวียงจันทน์มาประดิษฐานไว้ที่วัดอัปสรสวรรค์วรวิหาร
นอกจากนี้วัดปทุมวนาราม วัดที่ล้อมรอบด้วยศูนย์การค้าขนาดใหญ่ใจกลางกรุงเทพฯ ฝั่งพระนคร ก็เป็นที่ประดิษฐานของ พระเสริม พระแสนเมืองมหาไชย และ พระสายน์ (หรือพระใส) ทั้งหมดเป็นพระพุทธรูปศิลปะล้านช้างที่ถูกเชิญมายังกรุงเทพฯ หลังความพ่ายแพ้ ซึ่งครั้งหนึ่งพระพุทธรูปเหล่านี้เคยเป็นศูนย์รวมจิตใจและความศรัทธาของชุมชนดั้งเดิมในเวียงจันทน์
ในปัจจุบันหากศึกษาประวัติศาสตร์ชาตินิยมลาวได้ให้ความสำคัญกับเหตุการณ์ครั้งนั้นด้วยมุมมองว่าเป็นการ “กอบกู้เอกราชของชาติลาว” ในทางตรงกันข้ามฝ่ายชาตินิยมไทยมีมุมมองเป็นการ “การก่อกบฏ” ทว่า ในอีกมุมมองหนึ่งที่ก้าวถอยออกมาจากจุดยืนของความเป็นชาตินิยมแล้ว ก็จะเห็นได้ว่าเป็นความขัดแย้งของรัฐจารีตที่กุมอำนาจโดยศักดินาทั้งสองฝ่าย และส่งผลให้ผู้คนสามัญชนจำนวนมากล้มตายเดือดร้อนกันเสียทั้งสองฝั่ง มากกว่าความขัดแย้งกันระหว่าง “รัฐชาติ” ตามคำนิยามสมัยใหม่
ปัจจุบันพื้นที่เดิมที่เคยเป็นที่ตั้งราชสำนักเวียงจันทน์ จุดนี้เป็นพื้นที่ของหน่วยปฏิบัติการลำน้ำโขง ภายในบริเวณมีโบราณสถานที่เปิดให้เข้าไปชมได้ คือ “วัดพระแก้วเก่า” ซึ่งเคยเป็นที่ประดิษฐานชั่วคราวของพระแก้วมรกต และมีรูปปั้นพระเจ้าไชยเชษฐาแห่งล้านช้าง รวมถึงซากเจดีย์ที่มีหลายคนสันนิษฐานว่าอาจเป็น “เจดีย์ปราบเวียง” เป็นอนุสรณ์ชัยชนะที่สยามสร้างขึ้นและใช้บรรจุพระพุทธรูปที่ได้จากเวียงจันทน์ (ทั้งนี้ มีผู้สันนิษฐานและเสนอความเห็นว่าควรเป็นเจดีย์ “พระธาตุขาว” ที่อยู่ถัดออกไปไม่ไกลนักมากกว่า)
นครร้างเวียงจันทน์ได้รับการฟื้นฟูขึ้นใหม่ในยุคสมัยอาณานิคมของฝรั่งเศส ผลกระทบจากการสร้างเมืองใหม่ทำให้มีการรื้อทำลายวัดและแนวกำแพงเดิมไปไม่น้อย ยกเว้นเพียงวัดสีสะเกด วัดที่บูรณะสร้างในสมัยเจ้าอนุวงศ์ด้วยรูปแบบศิลปะที่ได้รับอิทธิพลจากรัตนโกสินทร์ยังคงอยู่ในสภาพดี โดยรัฐบาลลาวระบุว่าพยายามดูแลรักษาให้คงรูปสถาปัตยกรรมแบบเดิมไว้ทุกประการ ด้านในมีภาพจิตรกรรม พระพุทธรูป และฮางเทียนที่งดงามเก่าแก่ กล่าวได้ว่าที่นี่เป็นหนึ่งในโบราณสถานที่สมบูรณ์ที่สุดในเวียงจันทน์
ภาพที่ 3 วัดสีสะเกด นครหลวงเวียงจันทน์ รูปแบบสถาปัตยกรรมที่ได้รับอิทธิพลจากสยามสมัยรัตนโกสินทร์
ต่อมาเมื่อปี ค.ศ. 2010 รัฐบาลลาวได้จัดสร้างอนุสาวรีย์เจ้าอนุวงศ์ที่นครหลวงเวียงจันทน์ และทำพิธีเปิดสำเร็จ ทำเป็นรูปปั้นหล่อโลหะสูงถึง 15 เมตร โดยให้หันพระพักตร์หน้าเข้าหาแม่น้ำโขงตรงข้ามกับฝั่งไทย (จังหวัดหนองคาย)
ในห้วงเวลาประวัติศาสตร์สมัยใหม่ดินแดนลาวเจอศึกหนักอีกมากภายใต้จากเจ้าอาณานิคม ตลอดจนได้รับผลกระทบที่มีสาเหตุต่อเนื่องมาจากสงครามเย็นที่มีการทิ้งระเบิดลูกปรายอีกจำนวนมหาศาลโดยสหรัฐอเมริกาในหลายประเทศ ภูมิภาคอินโดจีน ทั้งลาว เวียดนาม และกัมพูชา จนถึงทุกวันนี้ยังมีลูกระเบิดอีกจำนวนหนึ่งที่เก็บกู้ไม่หมดและตกค้างในผืนดิน ซึ่งประเทศไทยเป็นพันธมิตรกับสหรัฐอเมริกา และยอมให้มีการตั้งฐานทัพและสนามบินในพื้นที่
อีกทั้ง ไทยและลาวมีความขัดแย้งทางการเมืองรุนแรงถึงขั้นปะทะกันครั้งสุดท้ายเมื่อปี ค.ศ. 1988 เรียกกันว่า “สมรภูมิร่มเกล้า” อันเป็นผลมาจากข้อพิพาทด้านเขตแดน มรดกตกทอดจากเจ้าอาณานิคม และ สุดท้าย ไทยและลาวก็ได้กลับสู่ภาวะแห่งสันติภาพเป็นเวลากว่า 35 ปีดังเช่นปัจจุบัน แม้ว่าข้อขัดแย้งต่างๆ ยังมิได้คลี่คลายโดยสมบูรณ์แต่ในความคิดเห็นของเยาวชนคนรุ่นใหม่ชาวลาวที่ผู้เขียนได้พบเจอและผูกมิตรก็แทบมิได้ให้ค่าความสำคัญกับเรื่องราวบาดหมางในอดีตอีกต่อไป ผู้เขียนจึงคาดหวังให้เกิดการปรับความเข้าใจมากขึ้น รวมถึงปรารถนาให้ชาวไทยเข้าใจมุมมองของเพื่อนบ้านมากขึ้น
อ้างอิง: