“พิพิธภัณฑ์สงครามและสิทธิสตรี” (The War and Women's Human Rights Museum) อยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟใต้ดินมหาวิทยาลัยฮงกิก หรือที่นิยมเรียกกันว่าสถานีฮงแด หลายคนอาจคุ้นเคยกับที่นี่ในฐานะย่านคาเฟ่และช้อปปิ้งของวัยรุ่น แต่เมื่อเดินหลีกหนีจากย่านผู้คนพลุกพล่านมาไม่ไกลจะพบตรอกเล็กๆ ที่มีป้ายของพิพิธภัณฑ์บนกำแพงชี้นำทาง เดินขึ้นเนินไปไม่ไกลก็เห็นพิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่ในย่านที่อยู่อาศัยซงซานดงที่เงียบสงบท่ามกลางความวุ่นวายของกรุงโซล
บนกำแพงของพิพิธภัณฑ์มีกระดาษสีเหลืองรูปผีเสื้อให้ผู้มาเยี่ยมเยือนได้เขียนข้อความ ที่นี่ไม่มีป้ายขนาดใหญ่บ่งบอกให้รู้ว่าเป็นพิพิธภัณฑ์นอกจากป้ายชื่อพิพิธภัณฑ์หน้าประตูทางเข้า และป้ายรางวัลการออกแบบสถาปัตยกรรมโซล อาคารพิพิธภัณฑ์ออกแบบโดยบริษัท Wise Architecture ซึ่งสถาปนิกผู้ออกแบบอธิบายว่าการที่ไม่มีป้ายขนาดใหญ่ของพิพิธภัณฑ์ มีเพียงป้ายนำทางภายนอกและภายในอาคารเพื่อให้ผู้ชมได้สัมผัสถึงความรู้สึกไม่มั่นคงที่ผู้หญิงได้รับเมื่อพวกเธอถูกพาไปเป็นหญิงบำเรอ (comfort women) ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
ภาพที่ 1 ถุงยางอนามัยที่แจกให้ทหารญี่ปุ่น
หลังจากจ่ายเงินค่าเข้าชม 5,000 วอนแล้วก็จะได้รับเครื่องเล่นที่มีคำบรรยายสำหรับแต่ละห้องพร้อมตั๋วกระดาษที่เมื่อพลิกอีกด้านหนึ่งเป็นข้อมูลของฮัลมอนิ หรือคุณย่าคังดุ๊กคยอง (Kang Duk Kyung) เกิดปีค.ศ. 1929 ที่เมืองจินจู เมื่ออายุ 16 ปี (ค.ศ.1944) เธอถูกส่งตัวไปทำงานที่โรงงานในโทยามะ ประเทศญี่ปุ่น ก่อนถูกส่งต่อไปยัง “สถานีบำเรอกาม” (comfort station สถานที่จัดตั้งขึ้นพิเศษให้แก่ทหารญี่ปุ่นในดินแดนที่ญี่ปุ่นยึดครองได้ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2) หนึ่งปีหลังจากสงครามสิ้นสุดลง เธอได้เดินทางกลับไปปูซานและลงทะเบียนเป็นผู้หญิงบำเรอ เมื่อปีค.ศ. 1992 เธอเคยวาดภาพต่างๆ ที่มีชื่อเสียง เช่น Innocence Stolen, Apologize Before Us รวมทั้งเข้าร่วมกิจกรรมทั้งที่องค์การสหประชาชาติและการประท้วงวันพุธก่อนที่จะเสียชีวิตลงเมื่อปีค.ศ. 1997
ภาพที่ 2 ภาพวาด Innocence Stolen โดยคังดุ๊กคยอง
เริ่มเดินจากส่วนโถงต้อนรับจะมีการฉายภาพวีดิโอผีเสื้อที่โบยบินเหนือความรุนแรงและการเลือกปฏิบัติ จากนั้นเปิดประตูออกไปนอกตัวอาคารพบทางเดินแคบที่โรยด้วยกรวด ได้ยินเสียงกรีฑาทัพผสมเสียงปืนกระตุ้นอารมณ์ร่วมเพื่อนำผู้ชมเข้าสู่ห้วงเวลาแห่งความทุกข์ที่เหยื่อได้รับ โดยเลือกการสื่อสารด้วยชิ้นงานศิลปะและภาพวาดบนกำแพงที่เป็นผลงานของเหยื่อ เมื่อเดินกลับเข้าไปในตัวอาคารอีกครั้ง คราวนี้มีบันไดนำพาขึ้นไปสู่ชั้นสองเป็นห้องประวัติศาสตร์ (History Hall) นำเสนอวัตถุจัดแสดงต่างๆ เกี่ยวกับผู้หญิงที่ตกเป็นเหยื่อและถูกส่งไปยังสถานีบำเรอกาม เช่น คูปองลดราคาสำหรับสถานีบำเรอกาม กฎระเบียบด้านสุขอนามัยของทหาร โดยมีคำเตือนเกี่ยวกับกามโรคเพื่อป้องกันการเกิดโรคระบาด บัตรผ่านเข้าสถานีบำเรอกามนันโกกุ (Nankoku) ลายเส้นคลื่นเป็นสัญลักษณ์ของกองทัพเรือญี่ปุ่นและตราประทับบนบัตรผ่านเป็นหลักฐานแสดงให้เห็นว่ากองทัพญี่ปุ่นบริหารจัดการสถานีบำเรอกามแห่งนี้ รายงานสอบสวนหญิงบำเรอชาวเกาหลีที่ถูกขังในค่ายนักโทษสงครามที่เกาะลูซอน ฟิลิปปินส์ ไดอารีของทหารญี่ปุ่นที่เล่าถึงประสบการณ์ไปที่สถานีบำเรอกาม
จากนั้นเมื่อเดินต่อไปยังห้องนิทรรศการประวัติศาสตร์การเคลื่อนไหว (Movement history Hall) เป็นการจัดแสดงบันทึกต่างๆ เกี่ยวกับการดำเนินกิจกรรมเพื่อเผยความจริงทางประวัติศาสตร์ที่ถูกกดทับเกี่ยวกับหญิงบำเรอ เช่น โทรศัพท์และเบอร์ฮอตไลน์ 730-4400 ที่เคยใช้รับรายงานเรื่องหญิงบำเรอที่ตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 18 กันยายน ค.ศ.1991 รวมถึงเครื่องบันทึกเสียงที่เคยใช้บันทึกการสัมภาษณ์เพื่อรวบรวมข้อมูลจากผู้หญิงที่เคยเป็นหญิงบำเรอ ไมโครโฟนและโทรโข่งที่เคยใช้ในยุคแรกของการประท้วงวันพุธ (Wednesday Demonstration) ซึ่งเป็นการประท้วงทุกเที่ยงวันพุธที่ด้านหน้าสถานทูตญี่ปุ่นในกรุงโซลที่จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม ค.ศ.1992 จนถึงปัจจุบัน
ภาพที่ 3 รูปปั้นเด็กผู้หญิงพร้อมเก้าอี้ว่างเปล่าเพื่อรำลึกวันครบรอบการประท้วงวันพุธต่อเนื่องครั้งที่ 100
ซึ่งนำไปตั้งที่หน้าสถานทูตญี่ปุ่นเมื่อปีค.ศ. 2001
เมื่อเดินออกไปนอกอาคารจะเป็นกำแพงที่รำลึกถึงหญิงบำเรอที่เมื่อเสียชีวิตลงก็จะนำรูปมาติดที่กำแพงนี้ ซึ่งผู้เยี่ยมเยือนสามารถมาวางดอกไม้ให้กับผู้วายชนม์ได้ จากนั้นเส้นทางเดินนำไปยังห้องสุดท้ายที่อยู่ชั้นใต้ดิน ซึ่งเป็นห้องนิทรรศการพิเศษเกี่ยวกับผู้หญิงเวียดนามที่ตกเป็นเหยื่อถูกข่มขืนและสังหารโดยทหารเกาหลีใต้ในช่วงสงครามเวียดนาม นับว่าเป็นการจบที่หักมุมมากเพราะเรื่องราวของหญิงบำเรอในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองได้กลายเป็นประเด็นที่รู้จักกันไปทั่วโลก ทว่า เรื่องราวของผู้หญิงเวียดนามที่ประสบชะตากรรมที่คล้ายคลึงกันกลับไม่เป็นที่รับรู้ และน่าเสียดายที่ห้องนี้มีคำบรรยายเฉพาะภาษาเกาหลีเท่านั้น ทำให้ไม่อาจเข้าใจเนื้อหาในห้องเล็กๆ นี้ได้ทั้งหมดจึงได้แต่หวังว่าพวกเธอจะได้รับความยุติธรรมในวันหนึ่ง ตามที่ได้ทราบจากข่าวเมื่อต้นปีพ.ศ. 2566 มีกรณีที่ศาลกรุงโซลพิพากษาให้เกาหลีใต้จ่ายเงินชดเชยต่อกรณีสังหารหมู่ชาวบ้านเวียดนามเมื่อปี พ.ศ. 2511 หลังจากที่ชาวเวียดนามยื่นฟ้องร้องต่อศาลเพื่อเรียกเงินชดเชยราวแปดแสนบาทแต่กระทรวงกลาโหมเกาหลีใต้ได้ปฏิเสธการชดเชยเงินดังกล่าว
ภาพที่ 4 Memorial Hall โถงรำลึกที่ผู้มาเยี่ยมเยือนสามารถวางดอกไม้ให้กับอดีตหญิงบำเรอที่ล่วงลับไปแล้ว
ภาพที่ 5 รูปปั้นในสวนชื่อ “Kim Bokdong and Gil Wonok are Peace” นำมาตั้งเนื่องในวันสตรีสากล 8
มีนาคม ค.ศ. 2012 ซึ่งเป็นรูปปั้นของคิมบ็อกดง (Kim Bokdong) และ กิลวอนก (Gil Wonok)
นักเคลื่อนไหวและอดีตหญิงบำเรอ
ข้อมูลอ้างอิง ข่าวเกาหลีใต้ค้านศาล ปฏิเสธทหารก่อการสังหารหมู่ในสงครามเวียดนาม
https://www.thaipost.net/abroad-news/326365/