Museum Core
เมื่อหญิงเปนชาย: นิยายสลับขั้วบทบาทความเป็นหญิงชายยั่วล้อสังคมไทยในทศวรรษ 2470
Museum Core
06 มิ.ย. 67 1K

ผู้เขียน : พิรฎา อุตตโมทย์

               ในช่วงปีพ.ศ. 2565 ผู้เขียนได้เจอหนังสือเรื่อง “เมื่อหญิงเปนชาย” ซึ่งเป็นผลงานของพรานบูรพ์
(นามจริง จวงจันทร์ จันทร์คณา (พ.ศ.2444-2519)) นักแต่งเพลงชื่อดัง เสนอขายในเว็บไซต์ออนไลน์แห่งหนึ่งด้วยราคาค่อนข้างสูง เนื่องด้วยเป็นหนังสือหายากและค้นหาไม่พบในฐานข้อมูลของหอสมุดแห่งใดในประเทศไทย ทำให้ผู้เขียนตัดสินใจซื้อหนังสือเล่มนี้และพบว่าสิ่งที่ได้ค้นพบจากหนังสือเล่มนี้นั้นคุ้มค่ายิ่งกว่าเงินที่จ่ายไปเสียอีก

 

ภาพที่ 1 หน้าปกหนังสือเรื่อง “เมื่อหญิงเปนชาย” ผลงานของพรานบูรพ์

 

               ในเนื้อเรื่องนิยายได้กล่าวถึงสถานการณ์ประหลาดที่อยู่มาวันหนึ่ง บทบาทในสังคมถูกเปลี่ยนไป โดยการสลับบทบาทและอำนาจนำในสังคมจากผู้ชายกลับกลายเป็นผู้หญิงแทน นิยายเล่าถึงตัวละครเอกชื่อ 'สาวหยุด' เธอเป็นตำรวจสาวพราวเสน่ห์ได้พบรักกับ 'เบ็ญจะ' เด็กนักเรียนหนุ่มมัธยมปลายผู้ประสบอุบัติเหตุ และพากลับไปส่งจนถึงที่บ้าน ซึ่งแม่ของเบ็ญจะเป็นข้าราชการใหญ่อยู่ในกระทรวง ขณะที่พ่อทำหน้าที่เป็นพ่อบ้านคอยดูแลความเรียบร้อยในบ้านเรือน สาวหยุดเริ่มหลงรักเบ็ญจะจึงพยายามหาโอกาสเกี้ยวพาชนิดถึงเนื้อตัวตัวอยู่บ่อยครั้ง เมื่อแม่ของเบ็ญจะรู้เรื่องจึงเรียกลูกชายไปต่อว่า (ราวกับว่าเขาเป็นเด็กสาวกำลังพลาดท่าให้กับผู้ชาย) ทว่าด้วยแรงปรารถนาของคนหนุ่มสาว เบ็ญจะกับสาวหยุดก็ตกลงปลงใจมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกัน

 

ภาพที่ 2 บทบาททางเพศที่กลับตาลปัตรเมื่อชายเป็นหญิง

 

               หลังจากแต่งงานกัน เบ็ญจะก็เปลี่ยนนามสกุลมาใช้นามสกุลตามภรรยา หลังจากสาวหยุดให้กำเนิดลูกสาว เบ็ญจะก็ทำหน้าที่เลี้ยงดูลูกสาว ในขณะที่สาวหยุดเป็นตำรวจและมักไปใช้บริการสถานบันเทิงในยามค่ำคืนกับเพื่อนตำรวจสาวๆ ของตนเสมอ ต่อมาสาวหยุดถูกตาต้องใจ 'มะลิ' ชายหนุ่มให้บริการในสถานบันเทิงแห่งนั้น และเกลี้ยกล่อมให้เขาร่วมหลับนอนด้วย เมื่อเบ็ญจะรู้ข่าวว่าภรรยาไปมีความสัมพันธ์กับชายอื่น เขาโกรธมากจึงมาติดตามให้กลับบ้านและทั้งคู่ก็ปรับความเข้าใจกัน หลังจากนั้นสาวหยุดก็เลิกประพฤติตนเหลวไหลเช่นนั้นอีก

 

ภาพที่ 3 ภาพลักษณ์ที่สลับขั้วกันระหว่างผู้ชายและผู้หญิง

 

               กาลเวลาผ่านไป ลูกสาวของสาวหยุดและเบ็ญจะชื่อว่า 'สาวงาม' เติบโตขึ้นจนเป็นสาวที่มีความห้าวหาญ และมีความสามารถในการชกมวย สาวงามมีความรักกับ 'สมาน' เด็กหนุ่มที่สนิทสนมกัน เมื่อพ่ออย่างเบ็ญจะทราบเรื่องก็กังวลเกรงว่าลูกสาวจะชิงสุกก่อนห่าม ในขณะที่แม่อย่างสาวหยุดไม่ได้ต่อต้านแต่ก็อยากให้ลูกสาวใส่ใจกับการศึกษามากกว่ามีคู่ครอง แต่สาวงามไม่ต้องการเช่นนี้ เธอต้องการใช้ชีวิตร่วมกับสมาน เมื่อพ่อแม่ไม่เห็นด้วยกับลูกสาว ส่งผลให้สาวงามกับสมานจึงตัดสินใจหนีตามกันออกจากพระนครไปอยู่ที่หัวเมือง ระหว่างการเดินทางด้วยรถไฟทั้งสองก็มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกัน หลังจากเดินทางไปถึงหัวเมืองแล้ว สาวงามก็ต้องเผชิญกับโลกแห่งความเป็นจริง ไม่รู้ว่าจะทำมาหาเลี้ยงชีพอย่างไร จนท้ายที่สุดทั้งคู่ก็จำต้องกลับบ้านด้วยความผิดหวัง

               กาลเวลาผ่านไป เหล่าชายในสังคมต่างรู้สึกว่าการให้ผู้หญิงเป็นใหญ่นั้นสร้างแต่ความวุ่นวาย รวมถึงเบ็ญจะด้วยเช่นกัน เขาตระหนักถึงปัญหาที่เกิดขึ้น กระทั่งวันหนึ่งเบ็ญจะสั่งให้ลูกสาวทำงานบ้าน เมื่อภรรยารู้เรื่องก็ไม่พอใจและพยายามขู่เข็ญให้สามีกลับไปทำหน้าที่พ่อบ้านตามเดิม แต่คราวนี้เขาต่อต้าน หยุดเสียใจมากที่สามีเปลี่ยนไป โดยเบ็ญจะได้ปลอบโยนและพยายามอธิบายให้สาวหยุดฟังว่าแบบแผนเก่า (ผู้ชายเป็นผู้นำครอบครัว) ที่เคยปฏิบัติกันมานั้นดีอยู่แล้วแต่การเปลี่ยนแปลงทำให้ทุกอย่างวุ่นวาย แม้ระยะแรกภรรยายังไม่ได้เห็นด้วยนักแต่ด้วยความรักที่มีต่อสามี ทำให้สาวหยุดเปิดใจรับฟังในสิ่งที่สามีพูดและหันกลับไปปฏิบัติตนตามขนบเดิม ในขณะที่บรรดาพ่อบ้านทั้งหลายต่างก็พยายามโน้มน้าวให้ภรรยาของตนกลับไปปฏิบัติบทบาทตามเพศอย่างแบบแผนเก่า และเรื่องก็จบลงในที่สุด

 

ภาพที่ 4 การเสียดสีสังคมร่วมสมัย

 

               ความน่าสนใจของนวนิยายเรื่องนี้คือการสร้างภาพความขัดแย้งของโลกคู่ขนานกับความเป็นจริงในสังคมขณะนั้น (ในคำนำระบุว่านิยายชุดนี้ครั้งหนึ่งเคยเขียนลงในหนังสือพิมพ์เดลิเมล์ช่วงระหว่างพ.ศ.2475-2476 และรวบรวมพิมพ์เป็นเล่มในภายหลัง) ซึ่งในสมัยรัชกาลที่ 6-7 การออกไปทำงานรับราชการและงานพนักงานตามออฟฟิศเป็นบทบาทหน้าที่สำคัญของผู้ชาย การประกอบอาชีพนอกบ้านของผู้หญิงยังอยู่ในวงแคบแม้จะมีอาชีพเพิ่มขึ้นกว่าเดิม เช่น แพทย์หญิง พยาบาล เป็นต้น หรือจำกัดในพื้นที่อยู่ภายในบ้าน หรือการเป็นแม่ค้า การสลับบทบาทกันระหว่างชายและหญิงทุกมิติในนิยายทั้งท้าทายและเสียดสีกรอบเดิมของสังคมไทยช่วงสมัยรัชกาลที่ 6-7 มีคดีอาชญากรรมที่มีเหตุจากการเที่ยวเตร่และใช้ชีวิตเสเพลของผู้ชายไม่น้อย ไม่นับรวมปัญหาครอบครัวที่มีสาเหตุจากผู้ชายแอบไปมีมีความสัมพันธ์กับหญิงอื่นจนกลายเป็นปัญหา หรือการเลือกหนีตามกันไปของหนุ่มสาว รวมถึงรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เช่น การระบุยศตำแหน่งที่เขียนไว้ในนิยายว่า “นางร้อยตำรวจตรี” หรือการใช้สรรพนามแทนตนเองกับกลุ่มเพื่อนฝูง ว่า “กัน” ดังที่ผู้ชายในสมัยนั้นนิยมใช้กัน

               กรณีเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าการยั่วล้อในนิยายที่เปรียบเสมือนโลกคู่ขนานที่แตกต่างกันก็ยังแฝงด้วยความเป็นจริง ทั้งเรื่องการใช้ชีวิตกลางคืน การหนีตามกัน การขยายขอบข่ายของอาชีพของผู้หญิง รวมถึงการเปิดพื้นที่ทางสังคมให้ผู้หญิงมีอิสระมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยที่ก้าวหน้าไปตามกาลเวลา นวนิยายฉบับนี้จึงมีความสำคัญในฐานะหลักฐานหนึ่งที่สะท้อนแนวคิดเรื่องบทบาทของผู้หญิงให้เข้าสู่สังคมสมัยใหม่ได้อย่างเท่าเทียม โดยเฉพาะนโยบายสนับสนุนให้ผู้หญิงเข้ารับราชการในระบบใหม่ แม้ในตอนท้ายเรื่องทุกอย่างจบลงด้วยชัยชนะของปิตาธิปไตยก็ตาม

               นอกจากนี้ นิยายยังสะท้อนให้เห็นเสรีภาพในการแสดงออกผ่านสื่อที่เป็นกระบอกเสียงของสังคมบอกเล่าความแข็งแกร่ง ความสามารถ รวมถึงประเด็นด้านสิทธิสตรีซึ่งผู้หญิงพึงได้รับในระบอบการปกครองใหม่ควบคู่ไปกับการเติบโตของเสรีภาพผู้หญิงในสังคมไทยอีกหลายแง่มุมภายใต้มุมมองของบุรุษเพศอย่างผู้เขียนนิยาย อีกทั้งยังแสดงให้เห็นถึงสิทธิและเสรีภาพสตรีที่กำลังงอกงามขึ้นดุจดอกไม้ที่กำลังบานสะพรั่งในทศวรรษ 2470 ที่แสดงให้เห็นอัจฉริยภาพในการยั่วล้อและสะท้อนสังคมที่ไม่เหมือนใครของพรานบูรพ์ ผู้เป็น “ครู” คนสำคัญของวงการนักประพันธ์และภาพยนตร์ไทย

แกลเลอรี่


ย้อนกลับ