Museum Core
พิพิธภัณฑ์ศิลปะสุมิดะโฮคุไซ จิตรกรที่แท้จริงแห่งแดนอาทิตย์อุทัย
Museum Core
01 ส.ค. 67 653
ประเทศญี่ปุ่น

ผู้เขียน : ธนภูมิ ทองรับแก้ว

               หลายท่านคงเคยเห็นภาพเกลียวคลื่นขนาดใหญ่สูงเด่นเสมือนกำลังกลืนกินทั้งท้องฟ้า เรือน้อย และภูเขาไฟฟูจิไปพร้อมกัน กอปรกับท้องฟ้าสีทาทมิฬน่าพิศวง ทั้งหมดถูกวาดด้วยลายเส้นงดงามและเรียบง่ายเป็นผลงานภาพพิมพ์อันลือลั่นของคัตสึชิกะ โฮคุไซ (Katsushika Hokusai) ศิลปินภาพพิมพ์แกะไม้ที่โด่งดังที่สุดของญี่ปุ่น

               โฮคุไซเกิดราวเดือนตุลาคม ค.ศ.1760 ที่ย่านสุมิดะ เมืองเอโดะ (โตเกียวในปัจจุบัน) เขาได้ฝึกศิลปะภาพพิมพ์ตั้งแต่อายุ 6 ปี และเริ่มมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักตอนอายุ 30 ปี ตลอดช่วงชีวิตเขาได้ถ่ายทอดภูมิทัศน์อันสวยงามของเมืองเอโดะผ่านภาพพิมพ์แกะไม้มากมาย โดยเฉพาะภาพ ‘คลื่นยักษ์นอกชายฝั่งคานางาวะ’ (The Great Wave off Kanagawa) ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก ภาพคลื่นยักษ์นี้อยู่ในคอลเล็กชัน ‘ทัศนียภาพ 36 มุม ของภูเขาไฟฟูจิ’ (Thirty-six Views of Mount Fuji) ซึ่งถูกนำออกเผยแพร่สู่สาธารณชนเมื่อเขาอายุได้ 72 ปี ในปี ค.ศ.1849 โฮคุไซได้สิ้นลม ณ เมืองที่เขาเกิดและเติบโต ทั้งนี้ ก่อนลาโลกเขาได้กล่าวว่า “ถ้าสวรรค์จะให้เวลาอีกสิบปีเท่านั้น...หรือเพียงอีกห้าปี ผมก็ได้กลายเป็นจิตรกรที่แท้จริง” จนกระทั่งอีกสองร้อยกว่าปีต่อมาจึงมีการก่อตั้งพิพิธภัณฑ์ศิลปะสุมิดะโฮคุไซ ณ เมืองสุมิดะ จังหวัดโตเกียว เมืองแห่งบ้านเกิดของศิลปิน

 

ภาพที่ 1 พิพิธภัณฑ์ศิลปะสุมิดะโฮคุไซ

แหล่งที่มาภาพ: Suginami. THE SUMIDA HOKUSAI MUSEUM. (2016). [ออนไลน์].
สืบค้นเมื่อ 06 มิถุนายน 2567. เข้าถึงได้จาก: https://commons.wikimedia.org/wiki/File:%E3%81%99%E3%81%BF%E3%81%A0%E5%8C%97%E6%96%8E%E7%BE%8E%E8%A1%93%E9%A4%A8.jpg

 

               พิพิธภัณฑ์ศิลปะสุมิดะโฮคุไซจัดตั้งขึ้นเพื่อจัดแสดงผลงานจำลองของโฮคุไซโดยเฉพาะและเข้าถึงได้สะดวกด้วยการเดินทางโดยรถไฟ จากสถานีรถไฟฟ้าเรียวโงะกุ สายโทเอะโอเอโดะ (Ryogoku - Toei Ōedo Line) ใช้เวลาเดินเท้าเพียง 5 นาที หรือประมาณ 9 นาทีหากใช้รถไฟเจอาร์ สายชูโอโซบุ (JR – Chuo Sobu) ทัศนียภาพโดยรอบเมืองสุมิดะไม่ถึงกับเงียบเหงา แต่ก็ไม่ได้ครึกครื้นดังเช่นในเมืองโตเกียว เมื่อเดินออกจากสถานี ผู้เขียนก็เริ่มมองเห็นภาพของโฮคุไซประดับตามตึก และเห็นลานสนามเด็กเล่นขนาดใหญ่ตั้งอยู่ลิบๆ ที่ปลายสายตา

               เมื่อเริ่มเข้าใกล้สนามเด็กเล่นแห่งนั้น สิ่งปลูกสร้างรูปทรงคล้ายกล่องสี่เหลี่ยมก็ปรากฏชัด ทว่าเป็นอาคารที่หาคำอธิบายถึงรูปทรงที่แท้จริงได้ยาก เฉกเช่นผลงานศิลปะบางชิ้นที่เราไม่มีวันเข้าใจ แต่ผู้เขียนก็มั่นใจว่าเดินมาถูกสถานที่แน่นอน เพราะด้านข้างสนามเด็กเล่นมีป้ายเขียนชื่อพิพิธภัณฑ์บอกไว้นั่นเอง

               อาคารพิพิธภัณฑ์ที่ถูกออกแบบให้มีทางเข้าทั้งสี่ด้าน และทางเข้าทั้งหมดถูกตัดเป็นรูปสามเหลี่ยมหน้าจั่ว สร้างความรู้สึกว่าอาคารหลังนี้มีความสมมาตรในแบบที่ไม่คิดว่าจะสมมาตรได้ ก่อนถึงห้องจำหน่ายตั๋วผู้เขียนเหลือบไปเห็นว่าด้านหลังมีห้องสมุดประชาชน ซึ่งเป็นแนวคิดการออกแบบพิพิธภัณฑ์สมัยใหม่ที่ต้องการให้เป็นพื้นที่สาธารณะ เอื้อเฟื้อกับประชาชนโดยรอบมากกว่าเป็นเพียงอาคารธรรมดา

               ราคาตั๋วเข้าชมพิพิธภัณฑ์มีสามราคา เริ่มต้นด้วยราคาปกติ 400 เยน สามารถเข้าชมได้เฉพาะนิทรรศการถาวร (Permanent Exhibition) หากต้องการชมนิทรรศการเพิ่มเติม (Exhibition Plus) ตั๋วค่าเข้าชมราคา 700 เยน หากต้องการชมทั้ง 2 นิทรรศการก็บวกค่าตั๋วกันรวม และสุดท้ายเป็นนิทรรศการพิเศษ (Special Exhibition) ซึ่งตั๋วเข้าชมไม่มีราคาตายตัวขึ้นอยู่กับนิทรรศการ โดยต้องตรวจสอบราคาตั๋วและรายละเอียดจากเว็บไซต์ของพิพิธภัณฑ์ก่อน ในคราวนี้ผู้เขียนเลือกเข้าชม 2 นิทรรศการ ราคาตั๋วทั้งหมดรวมเป็น 1,100 เยน

               หลังจากได้ตั๋วแล้วผู้เขียนก็ขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้น 3 ด้านหน้าห้องนิทรรศการถาวรมีจอสัมผัสเปรียบเทียบผลงานของโฮคุไซกับสถานที่จริงในปัจจุบัน ซึ่งทำให้ผู้เขียนได้ค้นพบว่าภาพที่เห็นจนชินตาบางภาพนั้นเป็นการตัดออกมาจากภาพจริงที่เป็นภาพม้วนมีขนาดยาวกว่า 7 เมตร

 

ภาพที่ 2 จอสัมผัสเปรียบเทียบผลงานของโฮคุไซกับสถานที่จริงในปัจจุบัน

แหล่งที่มาภาพ: 漱石の猫. 隅田川両岸景色図巻のデジタル展示ーすみだ北斎美術館. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ 12 มิถุนายน 2567. เข้าถึงได้จาก: https://bit.ly/3zaAbaG

 

               เมื่อก้าวเข้าห้องนิทรรศการถาวรความมืดก็ครอบงำ สิ่งที่สะดุดตาผู้เขียนเป็นอย่างแรกคือรูปปั้นหุ่นขี้ผึ้งของโฮคุไซวัยชรากับลูกสาวคนเล็กของเขาที่มีความสนใจด้านศิลปะเหมือนกับผู้เป็นพ่อ รูปปั้นเบื้องหน้าทำให้หลุดในภวังค์ครู่หนึ่ง ความสมจริงของรูปจำลองกับการจัดฉากที่เรียบง่ายทำให้ได้สัมผัสเสมือนหนึ่งว่าโฮคุไซยังคอยจับจ้องอยู่ ณ ที่แห่งนี้

 

ภาพที่ 3 หุ่นขี้ผึ้งของโฮคุไซวัยชรากับลูกสาวคนเล็ก

 

               ผนังโดยรอบห้องประดับด้วยภาพศิลปะหลากหลายโดยเรียงตามลำดับเวลาในช่วงชีวิตของศิลปิน ตั้งแต่เด็กวัยแบเบาะจนถึงวัยรุ่งโรจน์ ทำให้ผู้เข้าชมได้รับรู้ถึงพัฒนาการของศิลปินผู้นี้ และตอนนี้เองที่ทำให้ผู้เขียนได้ทำความรู้จักกับคำว่า “ภาพอูกิโยะ” (Ukiyo-e) ซึ่งเป็นชื่อเรียกเฉพาะภาพพิมพ์แกะไม้แบบญี่ปุ่นที่มีเทคนิคการสร้างชิ้นงานศิลปะที่ซับซ้อน เริ่มจากศิลปินต้องแกะสลักแม่พิมพ์ไม้หลายชิ้น โดยแยกแม่พิมพ์ออกเป็นแต่ละส่วนของภาพตามจำนวนสีที่ใช้พิมพ์ จากนั้นจึงนำแม่พิมพ์ไม้ไปทาหมึกทีละสีและทาบพิมพ์ลงบนกระดาษไล่เรียงทีละชั้นตามลำดับไปเรื่อยๆ จนได้เป็นภาพพิมพ์ตามแบบที่วาดไว้ ซึ่งวิธีการนี้ช่วยย่นย่อเวลาการทำงานของศิลปินให้สั้นลงและสามารถทำซ้ำได้หลายครั้ง ทำให้ขายภาพได้มากขึ้น

               ใจกลางห้องนิทรรศการมีแสงไฟส่องลงบนโต๊ะที่เต็มไปด้วยหนังสือมากมายวางกองอยู่ดูสะดุดตาดึงดูดให้อยากเข้าไปดูใกล้ๆ แม้ว่าผู้เขียนไม่ได้ไล่เรียงดูหนังสือทุกเล่มอย่างละเอียดนัก แต่ทั้งหมดเป็นหนังสือภาพสเก็ตช์ของโฮคุไซที่แสดงให้เห็นถึงความเก่งกาจของศิลปินในการสร้างสรรค์ภาพสัตว์ตามวงกลมและเส้นโค้ง ภาพผู้คนที่เก็บรายละเอียดได้ดี หรือภาพทิวทัศน์ที่สื่อถึงอารมณ์และความรู้สึกของภาพอย่างเต็มเปี่ยม

               ถัดมาเป็นห้องนิทรรศการเพิ่มเติมที่อยู่ใกล้กัน จัดแสดงนิทรรศการชื่อ ‘ทิวทัศน์สองฝากฝั่งของแม่น้ำสุมิดะและภาพสเก็ตช์โดยโฮคุไซ’ (Scenery on Both Banks of the Sumida River and Sketches by Hokusai) ผนังสีขาวช่วยขับวัตถุขนาดยาวที่ตั้งอยู่กลางห้องให้ดูโดดเด่น เป็นภาพม้วนแสดงวิวทิวทัศน์รอบแม่น้ำสุมิดะที่แสดงอยู่บนหน้าจอ ภาพนี้มีชื่อว่า ‘ทิวทัศน์สองฝากฝั่งของแม่น้ำสุมิดะ’

               ความยาว 7 เมตรของภาพม้วนดูยาวไร้ที่สิ้นสุด และเก็บรายละเอียดถี่ยิบของชุมชนรอบแม่น้ำสุมิดะได้อย่างประณีต บางครั้งที่ก้มดูเหล่าผู้คนในภาพก็เผลอคิดไปว่าพวกเขาขยับได้ บางคราก็ปล่อยความคิดให้หลุดไปอยู่ในเหตุการณ์ของภาพพิมพ์นั้น ด้านข้างมีวิดีทัศน์ที่บอกเล่าความสำคัญของผลงานชิ้นนี้ทั้งภาษาอังกฤษและญี่ปุ่น ที่ผนังด้านหลังมีสมุดสเก็ตช์ภาพของโฮคุไซคนละชุดกับที่จัดแสดงในห้องนิทรรศการถาวร ในมุมมองของผู้เขียนเห็นว่าภาพสเก็ตช์ในห้องนี้มีรายละเอียดที่เด่นชัดมากกว่า ตัวอย่างเช่น ภาพซามูไรที่มีหลากหลายอริยาบท เมื่อพินิจดูรายละเอียดก็เห็นได้ชัดเจนว่าภาพวาดด้วยมือลงน้ำหนักพู่กันอย่างแม่นยำ ไม่แสดงถึงความสั่นไหวของมือแม้แต่น้อย

               หลังชมนิทรรศการจบ ชั้นล่างมีร้านขายของที่ระลึกที่ล้วนแต่นำเอาผลงานภาพพิมพ์ของโฮคุไซมาพิมพ์ใหม่ลงบนสิ่งของต่างๆ ของแต่ละชิ้นถูกออกแบบมาอย่างดีและพิมพ์อย่างประณีต ทว่าด้วยทุนทรัพย์ของผู้เขียนมีจำกัดจึงซื้อมาเพียงโปสการ์ดสองแผ่นที่นับว่าคุ้มค่าแล้ว

                ตลอดช่วงเวลากว่าสองร้อยปีที่ผ่านมาจนถึงการก่อตั้งพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ คงไม่มีใครปฏิเสธว่าโฮคุไซได้กลายเป็นจิตรกรที่แท้จริงสมดังที่เขาได้ปรารถนาไว้ก่อนสิ้นลมแล้ว หากใครมีโอกาสได้ไปเที่ยวกรุงโตเกียวก็อย่าลืมแวะเวียนไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ศิลปะสุมิดะโฮคุไซที่เมืองสุมิดะ ไม่แน่ว่าอาจสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณของปรมาจารย์ภาพพิมพ์ของญี่ปุ่นอย่างที่ผู้เขียนสัมผัสได้ก็เป็นได้

 

ข้อมูลเพิ่มเติม              

https://hokusai-museum.jp/?lang=en

แกลเลอรี่


ย้อนกลับ