โลกใต้ทะเลอันแสนกว้างใหญ่กับฝูงปลาที่แหวกว่ายอยู่ในตู้กระจกมักสร้างความตื่นเต้นให้เด็กน้อยที่เพิ่งเคยเห็นพวกมันเป็นครั้งแรก การได้พบเจอสิ่งมีชีวิตหน้าตาประหลาดและการท่องโลกใต้ทะเลที่ไม่เคยเห็นมาก่อนย่อมกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นได้เป็นอย่างดี และนั่นอาจเป็นสาเหตุทำให้เด็ก ๆ หลงรักพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำมากเป็นพิเศษ ผู้เขียนก็เช่นกัน
สมัยเป็นเด็กที่ยังไม่รู้ความมากเท่าไหร่ผู้เขียนได้มาเที่ยวที่ศูนย์เรียนรู้โลกใต้ทะเล พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำบางแสน เมื่อเดินผ่านซุ้มประตูทางเข้ามายังบริเวณห้องโถงใหญ่ของสถานเลี้ยงสัตว์น้ำเค็ม สิ่งแรกที่ดึงดูดความสนใจเป็นตู้กระจกมากมายที่เรียงรายอยู่เต็มพื้นที่ แสงไฟสว่างตัดกับผนังสีเข้มของห้องจัดแสดงทำให้สามารถมองเห็นสัตว์ทะเลหลากหลายสายพันธุ์ได้อย่างชัดเจน ดอกไม้ทะเลหลากสีสันที่เกาะอยู่บนกิ่งปะการังเทียมสามารถเลียนแบบแหล่งที่อยู่อาศัยของฝูงปลาการ์ตูนได้เป็นอย่างดี ตู้กระจกเหล่านี้เต็มไปด้วยสัตว์ทะเลในเขตน่านน้ำของไทยหลากหลายสายพันธุ์ ในเวลานั้นเด็กหญิงตัวเล็กเขย่งดูฝูงปลาการ์ตูนว่ายน้ำอย่างมีความสุขและกระโดดไปรอบ ๆ เพื่อแวะดูตู้นี้ทีตู้นั้นทีที่มีอยู่นับร้อยตู้ หากตู้ไหนสิ่งมีชีวิตหน้าตาแปลกแตกต่างจากปลาที่คุ้นตาก็จะจ้องเขม็งด้วยความแปลกใจปนสงสัย กลายเป็นความทรงจำเล็กๆ จากการไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ในครั้งนั้นว่าเคยเห็นสิ่งมีชีวิตหน้าตาพิลึกพิลั่น ดูคล้ายเอเลี่ยนมากกว่าสัตว์น้ำเค็ม
เมื่อโตขึ้นช่วงชั้นประถมปลาย ผู้เขียนได้กลับไปเที่ยวชมที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้กับครอบครัวอีกหลายครั้ง แม้บรรยากาศโดยรวมแตกต่างจากครั้งก่อน ทว่าสิ่งมีชีวิตหน้าตาประหลาดยังคงจัดแสดงอยู่ในตู้เช่นเดิม แต่สิ่งต่างออกไปเป็นผู้เขียนที่ได้รับข้อมูลและมีความรู้เพิ่มมากขึ้น มากกว่าใช้สายตามองและคิดจินตนาการไปเองแล้ว การได้อ่านป้ายคำอธิบายช่วยไขความสงสัยให้กระจ่างว่าสิ่งที่เคยคิดว่าเป็นเอเลี่ยนในตอนนั้น แท้จริงแล้วเป็นเพียงปลาเก๋ายักษ์ หรือปลาหมอทะเล (Giant grouper) และปลาไหลมอเรย์ (Moray eel) นอกจากนี้ผู้เขียนยังได้พบ
“จุดชมแมงกะพรุนเรืองแสง” โซนที่ชื่นชอบมากเป็นพิเศษ ดวงไฟใต้ตู้ที่เปลี่ยนสีสลับเขียว-เหลือง-ม่วง-แดง ไปเรื่อยๆ ทำให้สิ่งมีชีวิตภายในดูมีชีวิตชีวาราวกับว่าพวกมันกำลังเปล่งแสงและเต้นรำอยู่บนระลอกคลื่นเป็นภาพที่สวยงามเสียจนนักท่องเที่ยวต่างพากันยกกล้องถ่ายรูปขึ้นมาเก็บภาพไว้เป็นความทรงจำ
ภาพที่ 1 แมงกะพรุนเรืองแสงที่ดูสวยงามภายในตู้จัดแสดง
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ผู้เขียนไม่ได้ไปเที่ยวระยะหนึ่ง จนกระทั่งเมื่อปีที่ผ่านมาจึงมีโอกาสกลับไปเยือนพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำบางแสนอีกครั้งหลังจากห่างหายไปนานหลายปี ด้วยวัยผู้ใหญ่ที่มีประสบการณ์และความรู้ความเข้าใจที่มีต่อสิ่งต่าง ๆ มากขึ้นตามวัย ครั้งนี้ผู้เขียนได้ทั้งความรู้และมุมมองใหม่ ๆ เกี่ยวกับสัตว์น้ำเค็มและระบบนิเวศนใต้ท้องทะเลเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะโซนพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ จัดแสดงที่ชั้นสองของอาคารสถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเล ซึ่งผู้เขียนรู้สึกประทับใจมาก แม้ว่าเดิมทีการเข้าชมโซนนี้จะไม่ค่อยให้ความสนใจมากนัก ด้วยการจัดแสดงสัตว์สตัฟฟ์ เปลือกหอย และฟอสซิล ไม่ตื่นตาตื่นใจเท่ากับสถานเลี้ยงสัตว์น้ำเค็มที่อยู่ด้านล่าง แต่ความสนใจที่เปลี่ยนไปทำให้ผู้เขียนเริ่มสนใจศึกษาตัวอย่างสิ่งมีชีวิตโบราณมากขึ้น การอ่านแผ่นข้อมูลพร้อมกับค่อย ๆ เชื่อมโยงข้อมูลมากมายเข้าด้วยกัน ยิ่งอ่านก็ยิ่งอยากรู้ ผู้เขียนกวาดสายตาอ่านแผ่นข้อมูลของโลกใต้ทะเลอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ตกสู่ภวังค์อย่างแท้จริง
ตัวอักษรมากมายที่บอกเล่าเรื่องราวหลากหลายเกี่ยวกับท้องทะเลทำให้ผู้เขียนได้รู้ว่าโลกใต้ทะเลลึกลับและน่าค้นหากว่าที่คิด อาณาจักรของสิ่งมีชีวิตในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่เกิดจากหลายองค์ประกอบเล็ก ๆ รวมเข้าด้วยกัน เริ่มจากสาหร่ายและแพลงก์ตอนขนาดจิ๋วที่มีบทบาทสำคัญของห่วงโซ่อาหารจนถึงสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่อย่างวาฬ ผู้บริโภคลำดับท้ายๆ ของห่วงโซ่อาหาร ซึ่งพิพิธภัณฑ์ได้จัดแสดงซากโครงกระดูกวาฬ บรูด้า (Bryde's whale) ที่มาเกยตื้นเสียชีวิตที่หาดบางแสนเมื่อปี พ.ศ.2518 นอกจากนี้ยังมีเกร็ดความรู้เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตจำพวกสัตว์ที่มีโพรงลำตัว เช่น ปะการังที่ประกอบขึ้นจากสิ่งมีชีวิตเดี่ยวขนาดเล็กนับพัน ดอกไม้ทะเลที่ใช้เข็มพิษฆ่าเหยื่อ และแมงกะพรุนที่มีการนอนหลับเช่นเดียวกับสัตว์ชั้นสูงเนื่องจากมีพัฒนาการของเซลล์ประสาท แม้ว่าข้อมูลเหล่านี้สามารถหาอ่านได้จากหนังสือแต่การท่องจำตามตำราก็อาจจำได้ยาก แต่การเรียนรู้จากประสบการณ์จริงในพิพิธภัณฑ์ ได้เห็นสิ่งจัดแสดงและตัวอย่างสัตว์สตัฟฟ์ด้วยตาตนเองก็อาจช่วยให้สามารถจดจำได้ดีกว่า
ภาพที่ 2 แมงกะพรุนที่ดูราวกับเต้นรำอยู่ในระลอกคลื่น
มีนิทรรศการหนึ่งที่ผู้เขียนคิดว่าสร้างสรรค์และเพิ่งเคยเห็นที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นนิทรรศการเกี่ยวกับความสำคัญของทะเลที่มีต่อมนุษย์ โดยมีการจัดแสดงแผนที่การทำการประมงในน่านน้ำไทย การเดินทางและเส้นทางการเดินเรือของมนุษย์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน รวมถึงจำลองการขุดค้นโบราณวัตถุจากซากเรืออับปางเพื่อค้นหาหลักฐานทางประวัติศาสตร์อีกด้วย หลังชมนิทรรศการจบผู้ชมน่าจะได้ข้อคิดว่าทะเลเป็นเรื่องใกล้ตัวที่สร้างประโยชน์ได้มหาศาล และปิดจบกับนิทรรศการสุดท้าย เรื่อง “สาร (รักษ์) จากสมุทร” เล่าเรื่องเกี่ยวกับสัตว์ทะเลที่สูญพันธุ์ไปแล้ว และสัตว์ทะเลที่กำลังจะสูญพันธุ์ รวมถึงปัญหาและสาเหตุของการสูญพันธุ์ ตลอดจนวิธีการอนุรักษ์ ซึ่งผู้เขียนประทับใจมากเป็นพิเศษและมีความเห็นว่าการหยิบยกประเด็นปัญหาดังกล่าวออกมานำเสนอในศูนย์การเรียนรู้เป็นแนวคิดที่ดีมาก ยิ่งเมื่อนักท่องเที่ยวได้เที่ยวชมความสวยงามของสัตว์น้ำเค็มในพิพิธภัณฑ์แล้ว อาจช่วยกระตุ้นให้ผู้ที่มาเยี่ยมชมตระหนักรู้ถึงคุณค่าของมหาสมุทร และเกิดจิตสำนึกอยากช่วยให้สรรพสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลยังดำรงชีวิตอยู่ได้ ไม่ปล่อยให้สูญพันธุ์ คงเหลือไว้เพียงตัวอย่างสัตว์สตัฟฟ์ที่ไร้ชีวิต หรือกลายเป็นความสวยงามในความทรงจำ ซึ่งนับเป็นเรื่องที่น่าเสียดายไม่ใช่น้อย
ภาพที่ 3 ดอกไม้ทะเลสั่นระริกพริ้วไหวตามแรงคลื่น
ปัจจุบันผู้เขียนยังคงไปเยือนพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ทุกครั้งที่มีโอกาสอย่างไม่รู้เบื่อ และแต่ละครั้งก็บันทึกภาพเก็บไว้เป็นความทรงจำมากมาย แม้บรรยากาศรอบตัวยังคงคล้ายเดิม แต่ด้วยชุดข้อมูลความรู้ขนาดใหญ่ที่ไม่สามารถจดจำ หรือซึมซับได้หมดในคราวเดียว ทำให้ทุกครั้งที่ผู้เขียนเดินผ่านเข้าไปในโถงใหญ่เต็มไปด้วยตู้กระจกก็ได้รับข้อมูลความรู้ใหม่ ๆ อยู่เสมอ
จากการเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำบางแสนหลายต่อหลายครั้งตั้งแต่วัยเด็กจนโตเป็นผู้ใหญ่ ทำให้ผู้เขียนค้นพบว่าการจัดแสดงแต่ละโซนมีเอกลักษณ์ที่ชัดเจน และมีวิธีการสื่อสารให้ผู้เยี่ยมชมเข้าใจในหลายรูปแบบ ไม่ว่าช่วงวัยใด เพียงแค่มีความสนใจเกี่ยวกับท้องทะเล และต้องการพักผ่อนหย่อนใจก็สามารถเก็บเกี่ยวความรู้จากพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำบางแสนได้บ้างไม่มากก็น้อย