Museum Core
มัคคุเทศก์ท้องถิ่น...สายใยจากอดีตถึงปัจจุบัน
Museum Core
03 ธ.ค. 67 445

ผู้เขียน : พิสุทธิ์ พงษ์เลาหพันธุ์

               ปัจจุบันคนไทยไปเที่ยววัดวาอารามกันมากขึ้นอาจเป็นผลพลอยได้จากกระแสความนิยม “มูเตลู” อย่างไรก็ดีนอกเหนือจากการกราบไหว้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว การได้รู้จักประวัติความเป็นมาและชมศิลปกรรมในโบราณสถานต่าง ๆ ก็สร้างอรรถรสในการท่องเที่ยวได้ไม่แพ้กัน ทั้งนี้ ผู้เขียนมีความเห็นว่า บุคคลผู้ทำหน้าที่ถ่ายทอดข้อมูลความรู้ให้กับนักท่องเที่ยวมีบทบาทสำคัญมาก จึงอยากแบ่งปันประสบการณ์ที่ได้สัมผัสจากผู้ทรงภูมิความรู้ในท้องถิ่นสองท่านที่คอยรับแขกและถ่ายทอดเรื่องราวจากอดีตให้กับนักท่องเที่ยวดุจสะพานเชื่อมต่อระหว่างอดีตถึงปัจจุบัน

               ใครเล่าจะรู้ว่าริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่เงียบสงบในตำบลป่าโมก อำเภอป่าโมก จังหวัดอ่างทอง ขนาบด้วยทุ่งนาเขียวชอุ่มมีสถานที่แสนมหัศจรรย์อย่างวัดป่าโมกวรวิหารซ่อนตัวอยู่ วัดแห่งนี้เต็มไปด้วยเรื่องเล่าที่สืบสาวยาวนานต่อเนื่องตั้งแต่อดีตโบราณจนถึงปัจจุบัน  วัดมีชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือถึงความศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธไสยาสน์ที่ประดิษฐานอยู่ในวิหารอันใหญ่โตโอ่อ่า  นอกจากความงดงามจับใจของหลวงพ่อพระนอนแล้ว สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนรู้สึกประทับใจและจดจำได้อย่างแม่นยำ คือ คุณลุงประยูร มรรคทายกวัดป่าโมก ลุงสวมแว่นตาใส่เสื้อเชิ้ตลายสุภาพและกางเกงขายาว คอยบริการต้อนรับนักท่องเที่ยว พร้อมบรรยายประวัติความเป็นมาของวัดป่าโมกและพระพุทธไสยาสน์ให้ผู้ที่มากราบบูชาพระด้วยท่าทีกระปรี้กระเปร่าภายในวิหาร

               ครั้งแรกที่ผู้เขียนมาที่วัดได้รับแจกหนังสือทำมือด้วยกระดาษขนาดเอสี่พับครึ่งเย็บเป็นเล่มบาง ๆ เกี่ยวกับตำนานเรื่อง “พระนอนพูดได้” ซึ่งเล่าเรื่องราวในอดีตเกี่ยวกับอิทธิปาฏิหาริย์ของหลวงพ่อพระนอนช่วยให้ชาวบ้านหายป่วยจากโรคระบาดและทำให้ผู้เขียนสนใจสืบค้นหาประวัติของวัดป่าโมกเพิ่มเติม หลังจากนั้นเมื่อผู้เขียนไปที่วัดป่าโมกอีกหลายครั้งและได้รับแผ่นพับเล่าเรื่องต่าง ๆ ที่น่าทึ่งเกี่ยวกับวัดป่าโมก เช่น ในสมัยก่อนวิหารพระพุทธไสยาสน์ตั้งอยู่ติดแม่น้ำเจ้าพระยาและโดนน้ำเซาะตลิ่งจนเกือบพังทลายผู้คนในสมัยอยุธยาได้ระดมความคิดและร่วมมือลงแรงช่วยกันชักลากพระพุทธไสยาสน์ย้ายมายังที่ตั้งวิหารปัจจุบัน ซึ่งนับเป็นเหตุการณ์ที่
น่าภาคภูมิใจอย่างยิ่ง

 

ภาพที่ 1 พระนอนวัดป่าโมก อำเภอป่าโมก จังหวัดอ่างทอง

 

               นอกจากนี้ลุงยังเล่าให้ฟังอีกว่าสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เคยเสด็จฯ มายังวัดป่าโมกก่อนไปทำสงครามยุทธหัตถี หลังจากการพูดคุยกันสารพัดเรื่องลุงประยูรยังใจดีมอบพระสมเด็จวัดป่าโมกเหรียญหนึ่ง
ให้ผู้เขียนเป็นที่ระลึก พร้อมกับให้แง่คิดที่ดีว่า “บุญกุศลไม่ได้อยู่ที่การใช้เงินทำบุญเยอะ ๆ สำหรับลุงแล้ว
ตื่นเช้ามาคิดดี พูดดี ทำดีทุก ๆ วัน นี่แหละคือบุญ”

               ผู้เขียนยังมีอีกสถานที่หนึ่งที่มีมัคคุเทศก์ท้องถิ่นอีกบุคคลหนึ่งที่อยากเล่าถึง คือ ลุงเข ปราชญ์ชาวบ้าน แต่งตัวภูมิฐาน คล้องสะพายกระเป๋าข้างท่าทางกระฉับกระเฉง คอยทำหน้าที่ต้อนรับและบริการนักท่องเที่ยวที่ศาลาเชิงเขาวัดเขายี่สาร อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม ซึ่งเป็นวัดโบราณเก่าแก่ที่ตั้งอยู่บนเนินเขาเล็กๆ
ริมฝั่งคลองที่ร่มรื่นด้วยป่าชายเลน และเย็นสบายด้วยลมทะเลจากปากอ่าวไทย จุดนี้เป็นรอยต่อของจังหวัดสมุทรสงครามกับจังหวัดเพชรบุรี แม้ว่าเขายี่สารมีชื่อเสียงในหมู่นักท่องเที่ยวว่าเป็นแหล่งอาหารอร่อยและอาหารทะเลสด ราคาไม่แพง ทว่าหากมีเวลามากพอ การเดินเที่ยวชุมชนเขายี่สารก็ให้สัมผัสกับกลิ่นอายของอดีตอันเปี่ยมไปด้วยมนต์ขลัง 

               จุดสนใจที่อยากแนะนำให้เป็นจุดเริ่มต้นของการเยี่ยมชมเป็น ศาลพ่อปู่ศรีราชาที่ตั้งอยู่ริมลานจอดรถเชิงเขายี่สาร บริเวณศาลมีคุณป้าใจดีคนหนึ่งคอยดูแลนักท่องเที่ยวและอำนวยความสะดวกเรื่องธูปเทียนด้วย หลังจากไหว้พ่อปู่เสร็จแล้วมองไปทางภูเขาก็จะเห็นบันไดทางขึ้นเขาอย่างสะดวก และพบกับลุงเขที่กวักมือเรียกให้ขึ้นไปเที่ยวชมถ้ำซึ่งภายในประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์ พร้อมกับเล่าเรื่องราวของพระนอนว่ามีความพิเศษแตกต่างจากที่อื่น ด้วยพระบาทมีเพียงเก้านิ้ว พร้อมกับชี้ชวนให้ลองนับ ผู้เขียนเดินเข่าเข้าไปใกล้และจ้องดูพระบาทพระพุทธไสยาสน์แล้วพบว่าพระบาทพระพุทธรูปมีเก้านิ้วจริงตามคำบอก โดยคุณลุงได้เล่าต่อไปว่านิ้วพระบาทอีกนิ้วหนึ่งนั้นอยู่ที่วัดใหญ่สุวรรณาราม อำเภอเมืองจังหวัดเพชรบุรี (หลังจากนั้นผู้เขียนก็ได้ติดตามไปที่วัดใหญ่สุวรรณารามแล้วพบว่ามีพระพุทธรูปที่มีนิ้วพระบาทข้างหนึ่งจำนวนหกนิ้ว จึงคิดสรุปว่าคำบอกเล่านี้อาจเป็น
กุสโลบายช่วยโปรโมทการท่องเที่ยวของคนโบราณ)

 

ภาพที่ 2 พระนอนเขายี่สาร วัดเขายี่สาร อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม

 

               ลุงเขเล่าว่าวัดเขายี่สารเป็นวัดที่มีอายุเก่าแก่ย้อนไปถึงสมัยอยุธยา และในอดีตพื้นที่ชุมชนเขายี่สารมี
คนจีนอาศัยอยู่มาก รูปแบบศิลปะที่ใช้ประดับตกแต่งวัดก็นิยมทำแบบจีนและชี้ให้ดูโบสถ์ที่มีการประดับผนังด้านนอกด้วยลายปูนปั้นรูปดอกไม้ และถ้วยชามเซรามิคอย่างงดงาม พร้อมเล่าว่าตอนที่ลุงเป็นเด็กคิดว่าเป็นลายดอกชบา ต่อมาจึงรู้ว่าแท้จริงแล้วเป็นลายดอกโบตั๋น ดอกพุดตาน เมื่อมีนักโบราณคดีมาลงพื้นที่ศึกษา แต่เดิมลายปูนปั้นเป็นสีแดงสีเขียวและมีการบูรณะเมื่อราวปีพ.ศ. 2533 จึงกลายเป็นสีขาวหมด ซึ่งลุงออกความเห็นว่าแบบเดิมสวยกว่า

               นอกจากนี้ ลุงเขยังเล่าให้ฟังอีกว่าพระพุทธรูปที่อยู่ในวิหารที่เชิงเขาเป็นพ่อปู่ศรีราชา ซึ่งเคยมีตัวตนอยู่จริงและเป็นผู้นำชุมชน ด้วยคุณงามความดีของท่านและเมื่อท่านสิ้นชีวิตก็ได้มีการทำรูปปั้นกลายเป็นที่เคารพนับถือคู่บ้านคู่เมืองของชาวบ้านยี่สาร และมีอีกเรื่องหนึ่งที่ลุงเล่าอีกด้วยความภูมิใจว่าสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เคยเสด็จฯ มาที่เขายี่สารถึงสองครั้ง และตรัสว่า
วัดเขายี่สารเป็นสถานที่สำคัญมาก จากนั้นลุงจึงพาเราเดินชมสิ่งต่าง ๆ ต่อไปจนถึงบนยอดเขา

 

ภาพที่ 3 ลุงเข บรรยายให้นักท่องเที่ยว

 

               เมื่อเดินขึ้นไปถึงยอดเขา สิ่งแรกที่สะดุดตาเป็นลานกว้างที่มีแนวอิฐปูลาดขนานกันอยู่สามแถว ลุงอธิบายว่าเป็นลานบุญที่คนโบราณปูไว้สำหรับตั้งสำรับกับข้าวเวลาทำบุญตักบาตร โดยแถวแรกใช้ตั้งอาหารคาว แถวที่สองใช้ตั้งของหวาน แถวที่สามใช้ตั้งบาตรใส่ข้าว และยังมีการใช้งานอยู่จนถึงปัจจุบัน

               หลังจากนั้นพวกเราได้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่วิหาร คือ พระพุทธรูปยืนปางห้ามสมุทรทรงเครื่องในมุขด้านหน้าวิหาร พระพุทธบาทสี่รอยที่ประดิษฐานอยู่ใต้มณฑปในวิหาร และหลวงพ่อปากแดง พระพุทธรูปปางมารวิชัยทรงเครื่องน้อยที่อยู่ด้านในสุดของวิหาร ทั้งนี้ คุณลุงได้อธิบายเพิ่มเติมว่าในอดีตชุมชนเขายี่สารอยู่ใกล้ทะเลมากกว่าในปัจจุบัน การสร้างพระพุทธรูปในวิหารจึงนิยมสร้างเป็นปางห้ามสมุทร แต่ในสมัยอยุธยาตอนปลายมักนิยมสร้างพระพุทธรูปทรงเครื่อง เช่น พระพุทธรูปองค์ที่ตั้งอยู่ด้านนอก สร้างเป็นพระพุทธรูปแบบทรงเครื่องใหญ่ ประดับตกแต่งด้วยมงกุฎ สังวาล สวมรองเท้า ส่วนพระพุทธรูปองค์ที่ตั้งอยู่ข้างในเป็นแบบทรงเครื่องน้อยมีเครื่องประดับเพียง พาหุรัด หรือกำไลต้นแขน ในตอนท้ายผู้เขียนยังได้แวะชมพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นเขายี่สาร ซึ่งจัดแสดงวัตถุโบราณต่าง ๆ เช่น สมุดข่อย ธรรมาสน์ และเครื่องกระเบื้องเคลือบต่าง ๆ ด้วยก่อนเดินทางต่อไปที่อื่น

               แม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนานและอะไรหลายอย่างก็เปลี่ยนแปลงไปแล้ว แต่ในความทรงจำของผู้เขียนยังจดจำสถานที่และผู้คนเหล่านี้ได้ดี ไม่ว่าจะเป็นคุณลุงประยูร คุณลุงเข หรือคุณป้าที่คอยต้อนรับนักท่องเที่ยวอยู่ที่ศาลพ่อปู่ศรีราชา ทั้งการต้อนรับ อัธยาศัยไมตรี และเรื่องเล่าต่างๆ มีส่วนสำคัญช่วยเติมเต็มให้โบราณสถานมีชีวิตชีวา พร้อมกับช่วยย้ำเตือนว่าสถานที่เหล่านี้เป็นสมบัติสุดล้ำค่าของทุกคน ในมุมมองของผู้เขียนมีความเห็นว่าความทรงจำเหล่านี้ก็เป็นสมบัติล้ำค่าที่ช่วยเยียวยาจิตใจให้ผ่านพ้นปัญหาในชีวิตไปได้ ผู้เขียนมีความสุขและรู้สึกเต็มตื้นขึ้นทุกครั้งที่นึกถึงคุณลุงทั้งสอง ราวกับว่าท่านเหล่านั้นได้ยกสิ่งของมีค่าให้ สิ่งที่แม้แต่เงินก็ซื้อไม่ได้และจะคงอยู่ไปตลอด และหากมีโอกาสอำนวยผู้เขียนเองก็อยากส่งมอบสิ่งนี้ให้กับคนอื่นต่อไป

แกลเลอรี่


ย้อนกลับ