‘พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร’ หรือที่เรียกกันจนติดปากคนทั่วไปว่า ‘พระแก้วมรกต’ เป็นพระพุทธรูปสำคัญที่มีประวัติเก่าแก่สืบเนื่องยาวนาน และนับถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของกรุงรัตนโกสินทร์ แม้ว่าจะไม่ได้สร้างขึ้นในกรุงเทพฯ หรือไม่ได้สร้างขึ้นในวัฒนธรรมของกลุ่มคนไทย-สยาม ก็ตาม
มีเอกสารและตำนานหลายฉบับที่เล่าถึงประวัติของพระแก้วมรกตทั้งที่แต่งด้วยภาษาบาลี ภาษาไทย ภาษาเขมร และภาษาลาว แต่ละฉบับมีเรื่องเล่าที่ต้องตรงกันว่า พระนาคเสนเป็นผู้สร้างขึ้นในอินเดียเมื่อราว พ.ศ. 500 (พระภิกษุองค์เดียวกับที่ถกพระธรรมกับพระยามิลินท์ในมิลินทปัญหา ซึ่งเป็นหนังสือสำคัญเล่มหนึ่งในพระพุทธศาสนา) จากนั้นพระพุทธรูปองค์นี้ก็ได้ประดิษฐานอยู่ที่เมืองปาฏลีบุตรมาอีก 300 ปี ก่อนมีผู้อัญเชิญไปประดิษฐานที่เกาะลังกา
ต่อมาพระเจ้าอนุรุทธ์ กษัตริย์แห่งเมืองพุกามได้มาอัญเชิญไปไว้ยังบ้านเมืองของตน ระหว่างทางนั้นได้เกิดเหตุการณ์ต่างๆ ทำให้พระแก้วมรกตได้เคยประดิษฐานตามเมืองสำคัญในอุษาคเนย์อีกหลายเมือง ไม่ว่าจะเป็นนครธม (เมืองเสียมเรียบ กัมพูชา) นครอโยธยา เมืองกำแพงเพชร จนสุดท้ายไปจบลงที่เมืองเชียงราย
เฉพาะที่เมืองเชียงรายมีความกล่าวถึงโดยละเอียดพิสดารอย่างน่าสังเกต ดังเช่นมีความระบุว่าเจ้าเมืองเชียงรายในขณะนั้นได้หุ้มองค์พระแก้วมรกตด้วยปูนแล้วค่อยลงรักปิดทอง จากนั้นจึง ค่อยสร้างเจดีย์ครอบเอาไว้ที่วัดป่าเยียะ (มักอ้างกันว่า เยียะคือชื่อไม้ไผ่พันธุ์พื้นเมืองชนิดหนึ่ง ปัจจุบันเรียกชื่อวัดว่า ‘วัดพระแก้ว’ ด้วยเป็นสถานที่พบพระแก้วมรกต ตั้งอยู่ที่ ต. เวียง อ.เมือง จ. เชียงราย)
กาลเวลาล่วงเลยมาช้านาน จนวันหนึ่งในสมัยพระเจ้าสามฝั่งแกนแห่งเมืองเชียงใหม่ (ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ.1945-1985) เจดีย์วัดป่าเยียะได้หักพังลงด้วยเกิดเหตุฟ้าผ่าลงที่เจดีย์ จึงมีการนำพระพุทธรูปปูนปั้นที่ประดิษฐานอยู่ภายในเจดีย์ออกมาและอัญเชิญเป็นพระประธานที่วัดแห่งนั้น แต่ปูนบางส่วนที่พอกทับพระพุทธรูปกะเทาะออกเล็กน้อย จึงทำให้ได้รู้กันทั่วว่าภายใต้ปูนปั้นเป็น พระแก้วมรกต เมื่อความทราบถึงพระเจ้าสามฝั่งแกนจึงโปรดให้มีการอัญเชิญไปประดิษฐานไว้ยังเมืองเชียงใหม่
แต่เรื่องไม่ได้จบเพียงแค่นั้น ระหว่างเดินทางปรากฏว่าช้างที่ใช้ชักลากอัญเชิญองค์พระแก้วมรกตไม่ยอมเดินไปเมืองเชียงใหม่เสียอย่างนั้น ซึ่งตามธรรมเนียมโบราณต้องจัดให้มีการเสี่ยงทายว่าช้างจะเดินไปที่ไหน ปรากฏว่าช้างเดินไปที่เมืองลำปาง พระแก้วมรกตจึงได้ไปประดิษฐานอยู่ที่วัดพระแก้วดอนเต้าในเมืองลำปางอีกพักใหญ่
ตำนานเรื่องพระแก้วมรกตฉบับที่เก่าที่สุดที่แต่งด้วยภาษาบาลี คือ ‘รัตนพิมพวงศ์’ จบความลงเพียงแค่นี้ ซึ่งหนังสือเก่าเล่มนี้เขียนขึ้นโดย ‘พระพรหมราชปัญญาเถระ’ เมื่อครั้งที่พระแก้วมรกตยังประดิษฐานอยู่ที่ลำปางเมื่อปี พ.ศ. 1979 ดังนั้นตำนานฉบับที่แต่งภายหลัง ไม่ว่าจะเป็นฉบับเชียงใหม่ ฉบับหลวงพระบาง-เวียงจันทน์ หรือแม้แต่ฉบับกรุงเทพฯ เมื่อเขียนถึงตำนานว่าพระแก้วมรกตประดิษฐานอยู่ที่ไหนก็มักเขียนจบลงที่นั้น
แท้จริงแล้ว พระแก้วมรกตควรถูกสร้างขึ้นในล้านนาช่วงระยะเวลาใกล้เคียงกับที่มีตำนานเรื่องฟ้าผ่าลงเจดีย์วัดป่าเยียะจนมีคนไปพบพระพุทธรูปองค์นี้ในสมัยพระเจ้าสามฝั่งแกนเท่านั้น ในส่วนประวัติที่ถูกอ้างถึงมาก่อนหน้านั้นต่างล้วนแล้วแต่เป็นตำนานที่ผูกขึ้นมาใหม่เพื่อสร้างความศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิ้น
ภาพที่ 1: พระแก้วมรกต พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองกรุงรัตนโกสินทร์
ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่พระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (ภาพถ่ายโดย กิตติพงศ์ นาไสยา)
ภาพที่ 2: วัดพระแก้วดอนเต้า จ. ลำปาง เคยเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต
แหล่งที่มาภาพ: https://bit.ly/4gj3cS3
รัชกาลที่ 4 ทรงเคยมีพระราชวินิจฉัยในทำนองคล้ายๆ กันนี้ ดังปรากฏในพระราชนิพนธ์เรื่อง ‘ตำนานพระแก้วมรกต สำหรับอาลักษณ์อ่านในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม วันสวดมนต์เย็น พระราชพิธีศรีสัจจปานกาล’ โดยทรงวิจารณ์ถึงลักษณะศิลปะงานช่างของพระแก้วมรกตเอาไว้ว่า
“...เมื่อเปรียบเทียบไปโดยละเอียด ดูเหมือนว่า (พระแก้วมรกต) จะเป็นฝีมือช่างลาวเหนือโบราณ ข้างเมืองเชียงแสน เห็นคล้ายคลึงมากกว่าฝีมือช่างเมืองอื่น แลถึงจะเป็นช่างที่เมืองลาวก็เป็นช่างดีช่างเอกทีเดียวมิใช่เลวทรามด้วยเป็นของดีงามเกลี้ยงเกลามากอยู่ไม่หยาบคาย...”
สิ่งที่น่าสังเกตเพิ่มเติม คือ รัชกาลที่ 4 ทรงระบุไว้ด้วยว่า ‘เชียงแสน’ ซึ่งเป็นเมืองโบราณที่ปัจจุบันตั้งอยู่ในเขตจังหวัดเชียงรายเป็นพวก ‘ลาวเหนือ’ ไม่ได้ทรงอ้างว่าเป็นไทย ข้อความส่วนนี้อาจขัดต่อความรู้สึกของคนไทยปัจจุบัน ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไรที่พระองค์มีพระราชวินิจฉัยเช่นนี้ ดังตัวอย่างหนึ่งที่ได้จากหนังสือเก่าฉบับหนึ่ง คือ ‘พงศาวดารเหนือ’ ซึ่งเขียนขึ้นใน พ.ศ. 2350 (ช่วงปลายรัชกาลที่ 1) ที่เขียนเรื่องเกี่ยวกับดินแดนล้านนา แต่ที่จริงแล้วเป็นเรื่องเกี่ยวกับสุโขทัย พิษณุโลก กำแพงเพชร และดินแดนละแวกใกล้เคียง ทั้งนี้ เพราะตอนเหนือของพื้นที่ขอบข่ายอำนาจยุคต้นกรุงเทพฯ อยู่สูงสุดแค่นั้น ถัดขึ้นไปจากล้านนาแล้วนับตนเองว่าเป็นลาว ‘พระแก้วมรกต’ จึงเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง ‘ล้านนา-ล้านช้าง’ ที่ถือตนเองว่าเป็น ‘ลาว’ มาแต่แรกแล้ว
ภาพที่ 3: รัชกาลที่ 4 เป็นผู้ทรงริเริ่มศึกษาตำนานพระแก้วมรกตอย่างเป็นศาสตร์สมัยใหม่
พระบรมฉายาลักษณ์ถ่ายโดยนายจอห์น ธอมสัน (John Thomson)
ปัจจุบันภาพนี้เก็บรักษาอยู่ที่ National Library of Scotland
แหล่งที่มาภาพ https://bit.ly/41n2iQ6
หลังจากพระแก้วมรกตอยู่ที่ลำปางนานถึง 32 ปี ก็ถูกย้ายไปประดิษฐานที่วัดเจดีย์หลวง เมืองเชียงใหม่ในรัชสมัยของพระเจ้าติโลกราช (ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. 1985-2030) ในที่สุดจนกระทั่งเมื่อพระเจ้าไชยเชษฐาครองราชย์ที่เชียงใหม่จึงได้ย้ายไปสถาปนาและปกครองอาณาจักรศรีสัตนาคนหุต หรือล้านช้างที่เมืองหลวงพระบาง เมื่อราวพ.ศ. 2091 จึงได้อัญเชิญพระแก้วมรกต (ขณะนั้นประดิษฐานอยู่ที่เชียงใหม่) ไปที่นั่นด้วย และ 12 ปีต่อมาเมื่อพระองค์ทรงย้ายไปปกครองที่เวียงจันทน์ก็ได้อัญเชิญไปด้วย
พระเจ้ากรุงธนบุรีย่อมทรงทราบถึงความศักดิ์สิทธิ์และความสำคัญของพระแก้วมรกต การมีพระคู่บ้าน
คู่เมืองของอาณาจักรบ้านใกล้เรือนเคียงไว้เป็นเครื่องประดับพระยศย่อมต้องยิ่งส่งเสริมภาพลักษณ์ความเป็นพระจักรพรรดิราช (พระราชาเหนือราชาทั้งหลายตามอุดมคติในพระศาสนา) ของพระองค์ เมื่อ พ.ศ. 2321 จึงโปรดให้เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (รัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ในเวลาต่อมา) ไปตีเมืองเวียงจันทน์ และอัญเชิญพระแก้วมรกตกลับมาด้วย
เมื่อรัชกาลที่ 1 เสด็จขึ้นครองราชย์ในปีพ.ศ. 2325 ทรงให้ความสำคัญกับพระแก้วมรกตเป็นอย่างมากด้วยทรงเป็นผู้ไปอัญเชิญจากเมืองเวียงจันทน์ลงมาด้วยตนเอง จึงไม่แปลกอะไรที่เมื่อ พ.ศ. 2331 รัชกาลที่ 1 จะโปรดให้พระยาธรรมปรีชา (แก้ว) เมื่อครั้งยังเป็นพระยาธรรมปุโรหิต แปลตำนานรัตนพิมพวงศ์จากภาษาบาลีมาเป็นภาษาไทย และยิ่งไปกว่านั้น ในพระราชนิพนธ์เรื่อง ‘ตำนานพระแก้วมรกตฯ’ ของรัชกาลที่ 4 มีใจความตอนหนึ่งทรงอ้างถึงพระราชพิธีตอนสถาปนานามพระนครในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกดังความว่า
“...จึงพระราชทานนามพระนครใหม่ให้ต้องกับพระนามพระพุทธรัตนปฏิมากรว่า กรุงเทพมหานครอมรรัตนโกสินทร์มหินทราอยุธยาบรมราชธานี เพราะเป็นที่เก็บรักษาพระมหามณีรัตนปฏิมากรองค์นี้ไว้เป็นเครื่องสิริสำหรับพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ผู้สร้างพระนครนี้...”
ความตอนนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความสำคัญของพระแก้วมรกตในฐานะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้าน
คู่เมืองของพระนครแห่งใหม่ หรือกรุงรัตนโกสินทร์ ทั้งยังมีเรื่องน่าสนใจด้วยว่า ชื่อเมืองกรุงเทพฯ ในพระราชนิพนธ์ข้างต้นของรัชกาลที่ 4 นั้นเป็นชื่อที่ผ่านการเปลี่ยนแปลงมาแล้ว โดยมีการเปลี่ยนจาก ‘บวรรัตนโกสินทร์’ ตามชื่อในสมัยรัชกาลที่ 3 พระราชทานนามไว้มาเป็น ‘อมรรัตนโกสินทร์’ ในรัชสมัยของพระองค์ และสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ทรงแปลความหมายของคำว่า ‘อมรรัตนโกสินทร์’ หมายถึง “ที่เก็บรักษาแก้วอันยั่งยืน” ซึ่งแน่นอนว่า ‘แก้ว’ ในที่นี้หมายถึง ‘พระแก้วมรกต’ เพราะในยุคสมัยที่สร้างกรงเทพฯ ไม่มีแก้วใดที่สำคัญและศักดิ์สิทธิ์มากเกินไปกว่าพระแก้วมรกตอีกแล้ว
ดังนั้น สิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของ ‘พระแก้วมรกต’ ที่มีต่อกรุงรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่สมัยสร้างกรุงในยุครัชกาลที่ 1 ต่อเนื่องจนถึงสมัยรัชกาลที่ 4 ต่างก็ต้องพระราชทานนามเมืองให้มีความหมายในทำนองที่ว่าเป็นเมืองที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตเหมือนกันทั้งสองสมัยนั่นเอง
ภาพที่ 4: พระธาตุเจดีย์หลวง ตั้งอยู่ในวัดเจดีย์หลวง จ. เชียงใหม่ ซึ่งเป็นวัดที่เคยประดิษฐาน
พระแก้วมรกต (ภาพถ่ายโดยคุณศุภณัฐ อรุโณประโยชน์)