Museum Core
ตามหาภาพวาดเลื่องชื่อ งานศิลปะในความสงัดณ วัดเคนนินจิ (Kennin-Ji Temple) เกียวโต
Museum Core
12 ธ.ค. 67 245
ประเทศญี่ปุ่น

ผู้เขียน : ทัศนีย์ ยาวะประภาษ

               ผู้เขียนอยากชวนมาสำรวจและเสาะหาภาพวาดของศิลปินลือนามในวัดเคนนินจิ (Kennin-Ji Temple) วัดเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของจังหวัดเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น วัดนี้มิได้เป็นเพียงสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ หรือสำหรับสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หากจัดแสดงผลงานศิลปะจากจิตรกรมากฝีมือหลายท่านกลมกลืนไปกับอาคารไม้ขรึมขลัง สวนเซนชำระใจ และความหมายของชีวิตที่ซุกซ่อนอยู่ในทุกฝีก้าวที่ผู้มาเยือนค่อย ๆ ย่ำเดินอย่างระมัดระวัง

 

ภาพที่ 1 วัดเคนนินจิแห่งเกียวโต ซ่อนตัวอยู่ในความคับคั่งที่สุดแห่งหนึ่งของเมือง

แต่เมื่อก้าวเข้ามากลับเหมือนหลุดเข้าสู่โลกแห่งความสงบนิ่ง

 

               วัดเคนนินจิ ซ่อนตัวอยู่สุดถนนฮานามิโคจิ (Hanamikoji Street) กลางย่านคลาคล่ำที่สุดของเกียวโต เป็นวัดพุทธในนิกายเซนแห่งแรก และเป็นหนึ่งในห้าวัดสำคัญที่สุดในเกียวโต ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1202 โดยมินาโมโตะ โนะ โยริเอะ (Minamoto no Yoriie) โชกุนคนที่สองของรัฐบาลโชกุนแห่งคามากุระ มีพระภิกษุเอไซ หรือ โยไซ (Myōan Eisai/Yōsai) เป็นเจ้าอาวาส (ผู้มีบทบาทสำคัญในการสร้างวัฒนธรรมการดื่มชาขึ้นในญี่ปุ่น)

               เช่นเดียวกับเมืองเกียวโตส่วนใหญ่ อาคารในวัดเคนนินจิถูกไฟไหม้และเผชิญกับสงครามกลางเมืองช่วงศตวรรษที่ 15 จำต้องบูรณะครั้งใหญ่กลางศตวรรษที่ 13 และอีกครั้งหลังสงครามโอนิน (The Ōnin War ค.ศ.1467-1477) อาคารส่วนใหญ่ในปัจจุบันมีอายุตั้งแต่ปลายคริสต์ศักราช 1500 ถึงกลาง 1700

               ความโดดเด่นของวัดเคนนินจิที่ดึงดูดให้ผู้เขียนมาเยี่ยมชมแต่แรกเป็นภาพวาดบนเพดานที่ปกคลุมไปด้วยภาพวาดมังกรแฝดขนาดยักษ์ในอินสตาแกรมช่างภาพชาวญี่ปุ่นคนหนึ่ง แต่เมื่อมาถึงและเที่ยวชมอย่างถ้วนถี่ กลับพบว่าสิ่งที่ต้องตาและประทับตราตรึงใจกลับกลายเป็นสวนญี่ปุ่นที่งดงาม และภาพวาดเปี่ยมมนต์ขลังของหลากหลายศิลปินที่จัดแสดงราวพิพิธภัณฑ์ขนาดย่อม

 

ภาพที่ 2 ฮอนโบ พินิจความสันโดษท่ามกลางความว่าง

 

               หลังจ่ายค่าเข้าชมและเปลี่ยนมาสวมรองเท้าแตะไร้เสียง วัดได้จัดเส้นทางการเดินชมแบบบังคับให้
ค่อย ๆ ซึมซับวิถีแบบเซน เจริญสติ อยู่กับตัวเองและความนิ่งสงัด ไตร่ตรองปัจจุบันด้วยการเดินชมภายในอาคารไม้แต่ละหลังที่แสดงถึงหลักปรัญญาอย่างโดดเด่น

               อาคารแรก ถัดจากทางเข้าเป็น ฮอนโบ (Honbo) ซึ่งมีสวน Circle Triangle Square ตั้งชื่ออิงจากงานเขียนอักษร ชื่อ “○△□” อันโด่งดังของเซ็นไก กิบง (Sengai Gibon) พระในวัดโชฟุคุจิ วัดเซนเก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น ซึ่งต้องการแสดงให้เห็นว่าทุกสิ่งในจักรวาลสามารถแสดงได้ด้วยสี่เหลี่ยมจัตุรัส สามเหลี่ยม หรือวงกลม

               ผู้เข้าชมสามารถนั่งตรงระเบียงไม้ ใช้เวลาค่อยๆ พิจารณาต้นไม้ต้นเดียวในวงกลมที่ปกคลุมด้วยมอสท่ามกลางทะเลกรวดสีขาวที่ถูกออกแบบอย่างพิถีพิถัน พินิจความสันโดษท่ามกลางความง่ายงามที่ช่วยให้จิตใจได้ผ่อนคลาย สงบลงได้ไม่มากก็น้อย ดังคำกล่าวของไทกัง โคโบริ (Taigan Kobori) หัวหน้านักบวชของวัดเคนนินจิแห่งนิกายรินไซที่กล่าวไว้ว่า “การใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายคือความหรูหราที่ยิ่งใหญ่ที่สุด หากคุณจำกัดความพึงพอใจของคุณ คุณก็สามารถทำให้จิตใจสงบได้” เฉกเช่นจิตใจของผู้เขียนที่แรกก้าวเข้ามาในบริเวณวัดด้วยจิตลอยฟุ้งค่อย ๆ ถูกความสงบที่เต็มไปด้วยพลังและจิตวิญญาณขัดเกลาให้ลดทอนลง

               หลังก้าวเท้าผ่านสะพานไม้เชื่อมอาคารก็จะเห็น “สวนเสียงแห่งกระแสน้ำ” หรือ โชอนเท (Chou-On-Tei) สวนเซนที่สร้างขึ้นอย่างเรียบง่ายและสง่างามโดยใช้หินสามก้อน (San-zon-seki) เป็นสื่อสัญลักษณ์แทนพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ผู้รับใช้ในแต่ละด้าน ท่ามกลางเนินเขาที่ปกคลุมไปด้วยมอสและต้นไม้ จุดนี้ผู้เข้าชมจะได้ใช้เวลานั่งสมาธิบนหินซาเซ็นเซกิ เพ่งมองหินแต่ละก้อน เส้นเงาของแมกไม้ การนั่งนิ่งงัน ไม่สอดส่ายกระวนกระวายแม้แต่น้อย จิตยิ่งฟุ้งน้อยลง เสมือนได้อยู่กับตัวเองในโลกสงัดครู่ใหญ่

               โซนถัดมาเป็นโฮโจ (Houjou) ระเบียงด้านหน้ามีสวนหินญี่ปุ่นขนาดใหญ่ เรียกว่า ไดโอเอ็น (Daioen) องค์ประกอบของสวนประกอบด้วยหินเรียงกันเป็นภูเขา ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ และพื้นที่ปกคลุมไปด้วยมอสเป็นสัญลักษณ์แห่งผืนดิน ต้นสนเขียวชอุ่มตลอดปีซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นนิรันดร์ และไม้พุ่มตัดแต่ง ล้วนช่วยเสริมความงามให้กับสวนแบบญี่ปุ่นแท้ๆ เพื่อให้ร่มเงาจากแสงแดดทางทิศตะวันตกและสร้างความรู้สึกถึงความใกล้ชิด บริเวณฐานของต้นไม้เหล่านี้เป็นอนุสรณ์ที่อุทิศให้กับโอดะ โนบุนางะ (Oda Nobunaga) ไดเมียวญี่ปุ่น และบุคคลสำคัญคนหนึ่งในยุคเซ็นโกกุ (Sengoku) และอาซุจิ-โมโมยามะ (Azuchi–Momoyama) ในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น

 

ภาพที่ 3 โฮโจ และ ไดโอเอ็น สวนหินสัญลักษณ์ของมหาสมุทรอันกว้างใหญ่

 

               ภายในแต่ละห้องของโฮโจเป็นแหล่งซ่อนตัวบรรดาภาพวาดที่มีฝีแปรงลื่นไหลทรงพลังอย่างยิ่งของเหล่าจิตรกรผู้ยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะงานชิ้นแรก ฉากกั้นพับทาสี “ฟูจินและไรจิน” (เทพเจ้าแห่งลมและเทพเจ้าสายฟ้า) ซึ่งเป็นสมบัติแห่งชาติ วาดโดยทาวารายะ โซทัตสึ (Tawaraya Sotatsu, c. 1570 – c. 1640) จิตรกรญี่ปุ่นที่ได้รับการยอมรับว่ามีจำนวนผลงานรวมอยู่ในรายชื่อสมบัติแห่งชาติของญี่ปุ่นเป็นอันดับสอง

               ฉากกั้นพับชิ้นนี้นับเป็นผลงานชิ้นเอกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาในช่วงบั้นปลายชีวิต พื้นผิวทั้งหมดของฉากพับคู่นี้ปกคลุมด้วยแผ่นทองคำ มีเทพเจ้าแห่งลมอยู่ด้านขวาและเทพเจ้าแห่งสายฟ้าอยู่ด้านซ้าย ปัจจุบันภาพวาดฉบับจริงถูกยืมไปจัดแสดงที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเกียวโต

 

ภาพที่ 4 ฉากกั้นเทพเจ้าแห่งลมและเทพเจ้าแห่งสายฟ้า

 

               ภาพต่อมาอยู่บนบานประตูเลื่อนสุดอลังการชื่อว่า มังกรเมฆ (Cloud Dragon) ซึ่งนับเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมที่สำคัญในยุคโมโมยามะ (Momoyama, ค.ศ.1573 - 1603) วาดโดยไคโฮ ยูโช (Kaiho Yusho) เดิมทีเป็นภาพวาดบนฉากเลื่อนของห้องรับรองทางตะวันออกเฉียงใต้ของโฮโจ ปัจจุบันนำมาติดเป็นม้วนกระดาษ 8 ม้วน เมื่อเพ่งพินิจก็เห็นราวกับว่าตัวมังกรกำลังเหาะเหินบนเมฆสีพยับหมอกอย่างทรงอำนาจ เสมือนจริงยิ่งนัก

 

ภาพที่ 5 มังกรเมฆ

 

               บนบานเลื่อนในห้องถัดมาเป็นภาพ “เจ็ดนักปราชญ์ในป่าไผ่” (Seven Sages in a Bamboo Grove) ผลงานอีกชิ้นหนึ่งของไคโฮ ยูโช ซึ่งรังสรรค์เมื่อเขาอายุปลาย 60 ใช้เทคนิคปาดแปรงแบบเบาและเร็ว โดยเน้นการลงเงาแบบอ่อนและเข้ม เจ็ดนักปราชญ์ในภาพคือขุนนางบุ๋นแห่งราชวงศ์เว่ย-จิน (Wei-Jin period) ในประเทศจีนที่หลบหนีออกจากโลกภายนอกและพบกันในป่าไผ่เพื่อพูดคุยกันอย่างบริสุทธิ์ใจ ช่างมีชีวิตชีวายิ่งยวด

 

ภาพที่ 6 เจ็ดนักปราชญ์ในป่าไผ่

 

               ภาพ ฉิน หมากรุก ภาพวาดและการประดิษฐ์ตัวอักษร (Qin, Chess, Paintings and Calligraphy) เป็นภาพประตูบานเลื่อนเพียงภาพเดียวในโฮโจที่ใช้การลงสี ส่วนภาพขนาดเล็กลงมาอย่างภาพภูมิทัศน์ (Landscape) กล่าวกันว่าเป็นภาพวาดที่ไคโฮ ยูโช ใช้เทคนิคหมึกกระจัดกระจาย เขาวาดทิวทัศน์โดยรอบด้วยหมึกสีอ่อนในระดับหนึ่ง จากนั้นจึงปรับแต่งโครงร่างและเน้นด้วยหมึกสีกลางและสีเข้มเพื่อให้เสร็จสมบูรณ์

               ภาพวาดติดผนังภาพต่อมาผู้เขียนชื่นชอบมากทีเดียวเพราะสดใสเป็นพิเศษ "ภาพเด็กเล่นเรือในคืนเดือนหงาย" (Children Playing in the Moonlight) วาดโดยทามุระ เก็ตซึโช (Tamura Getsusho) ยุคเมจิ ในภาพเด็กจีนห้าคนกำลังมองดวงจันทร์จากเรือในทะเลสาบที่ปกคลุมไปด้วยต้นกก ดวงจันทร์ลอยอยู่กลางเมฆในอากาศที่ลอยล่องและเงาสะท้อนบนผิวน้ำเป็นวง 

 

ภาพที่ 7 เด็กจีนกำลังเล่น

 

               มาถึงภาพวาดที่ใช้เวลาพินิจยาวนานกว่าภาพอื่นเพราะทอดยาวบนบานเลื่อนจำนวน 24 บาน แปดมุมของเซียวเซียง (Xiaoxiang Eight View) วาดโดยโฮโซกาวะ โมริฮิโระ (Hosokawa Morihiro) ยุคเรวะ “เซียวเซียง” เป็นชื่อภูมิภาคในมณฑลหูหนานของจีนที่แม่น้ำเซียวและเซียงมาบรรจบกันและไหลลงสู่ทะเลสาบขนาดใหญ่ที่เรียกว่าทะเลสาบต่งติง (Dong Ting Qiu Yue) พื้นที่แห่งนี้รวมตำนานและเทพนิยายมาช้านาน รู้จักกันในฐานะสถานที่ที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งของจีน มีกวีและจิตรกรจำนวนมากมาเยี่ยมเยียนและได้รับแรงบันดาลใจ

 

ภาพที่ 8 แปดมุมของเซียวเซียง

 

               ปัจจุบันภาพวาดแปดมุมของเซียวเซียงได้รับการสร้างขึ้นใหม่โดยอิงจากเอกสารทางประวัติศาสตร์ ภาพทั้งแปดมุมนี้ ได้แก่ “ยามาอิจิเซรัน” (หิมะในเมือง) “โทระ คิโฮ” (เรือใบที่แล่นกลับลงสู่ท้องทะเล) “เกียวมูระ ยูอิกาตาเกะ” (ไฟประดับยามราตรีเกียวมูระ) “เอ็นจิ บันโช” (ระฆังยามเย็นที่วัดเอ็นจิ) “เซียวเซียง ฝนยามค่ำคืน” (ฝนปรอยที่เซียวเซียง) “ตงติง พระจันทร์ฤดูใบไม้ร่วงที่ตงติง) “เฮซะ ราคุกัง” (ห่านป่าที่ผุดขึ้นมาจากผืนทราย) และ “เอเทน โบคุยูกิ” (หิมะบนภูเขา)

               มุมมองทั้งแปดนี้ได้รับการเผยแพร่สู่ญี่ปุ่นในช่วงคามาคุระ และศิลปินจำนวนมากก็ใช้มุมมองเหล่านี้เป็นหัวข้อในการวาดภาพ โดยแสดงฉากต่าง ๆ ที่แตกต่างกัน เมื่อยืนพิจารณาภาพทั้งหมดบนบานเลื่อนที่เปลี่ยนแปลงไปตามมุมมองทั้งแปดของจิตรกรผู้สร้างสรรค์งาน ความรู้สึกของผู้เขียนเสมือนซึมซับหยาดหิมะ ฟองคลื่น แสงไฟระย้า เสียงระฆังเหง่งหง่าง ปรอยฝน แสงนวลของดวงจันทร์ และความเริงร่าของห่านป่า เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในตัวตนไปด้วย

               ผู้เขียนก้าวออกจากโฮโจไปสู่ปลายทางที่ทุกคนต่างมุ่งมาเยือน ที่นี่เรียกว่า ฮัตโตะ (Hatto) หรือหอธรรม สิ่งเตะตาและขรึมขลังที่สุด เติมเต็มจิตวิญญาณเมื่อย่างเข้าไปในห้องโถงฮอนโดของหอธรรม พบกับงานศิลปะบนเพดานเป็นภาพมังกรแฝดขนาด 11.4 x 15.7 เมตร เหนือองค์พระพุทธรูปที่ประดิษฐานอยู่ด้านล่าง แสดงถึงสัญลักษณ์แห่งการปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนา และเป็นเทพเจ้าแห่งน้ำที่นำฝนแห่งธรรมะมาให้

               ผลงานชิ้นเอกนี้เป็นของจุนซากุ โคอิซุมิ (Junsaku Koizumi) เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 800 ปีของวัดเคนนินจิ เขาวาดมังกรด้วยหมึกบนกระดาษญี่ปุ่นเนื้อหนาแบบดั้งเดิมซึ่งเป็นพื้นผิวที่สามารถปูเสื่อทาทามิได้ 108 ผืน ใช้เวลา1 ปี กับอีก 10 เดือน สร้างสรรค์งานชิ้นนี้จนเสร็จในเดือนเมษายน พ.ศ. 2545 ทำงานในโรงยิมของโรงเรียนประถมร้างบนเกาะฮอกไกโด โดยสร้างภาพในขนาดเล็กก่อน จากนั้นจึงแปลงเป็นขนาดจริงด้วยเอฟเฟกต์แสงและภาพนูนที่น่าทึ่ง

 

ภาพที่ 9 มังกรแฝดบนเพดานหอธรรม

 

                เมื่อแหงนมองสองมังกรบนเพดานจากพื้นด้านล่าง ผู้เขียนสำนึกได้ว่าตัวเราช่างเล็กจ้อย ลำตัวของมังกรคู่เบื้องบนราวกำลังเคลื่อนไหวอย่างสง่างามบนท้องฟ้าไร้จุดสิ้นสุด แผ่กลิ่นอายชวนเกรงขามเคียงคู่พลังเมตตาบารมีขององค์พระประธานที่ถ่ายเทสู่ผู้มาสักการะอย่างไร้ขีดจำกัด

                อาณาบริเวณวัดทั้งหมดนั้นกว้างขวางยิ่ง ทว่าเวลาในวัดกลับไหลผ่านไปอย่างเนิบช้า แต่ละก้าวที่ค้นพบและสัมผัสภาพวาดแฝงคติธรรมได้เติมเต็มจิตที่แสวงหาไม่รู้จบให้ค้บพบคำตอบอันเรียบง่าย เมื่อก้าวพ้นออกมาจากวัด ผู้เขียนก็รู้สึกตื้นตันปิติอย่างยิ่ง หวังใจว่าใครที่ได้ออกสำรวจและพบเจอผลงานภาพวาดเหล่านี้ในวัดเคนนินจิอาจได้รับความรู้สึกสว่างใสเฉกเดียวกับผู้เขียน

 

Kennin-Ji Temple, Kyoto

เปิดทำการทุกวัน เวลา 10:00 – 17:00 (มีนาคม-ตุลาคม), 10:00 – 16:30 (พฤศจิกายน-กุมภาพันธ์) 

 

การเดินทาง :

1. Keihan Line ลงสถานี Gion Shijō เดินต่อ 10 นาที

2. Hankyū Line ลงสถานี Kyoto Kawaramachi เดินต่อ 10 นาที

3. รถโดยสารหมายเลข 206 และ 100 ลงป้าย Higashiyama Yasui, Minamiza-mae, หรือ Gion เดินต่อ 5-10 นาที

แกลเลอรี่


ย้อนกลับ