ภาพปก กำแพงรายชื่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสร้างและอนุรักษ์ โบสถ์ หอศีลจุ่ม หอระฆัง
พิพิธภัณฑ์ของอาสนวิหารฟลอเรนซ์ (Opera del Duomo Museum) มีประตูทางเข้าไม่ใหญ่แต่ข้างในมีห้องจัดแสดงถึง 28 ห้อง มีของเลอค่าให้ชมมากมาย ทั้งประตูทองของจริง 3 บานของหอศีลจุ่มซานจิโอวานนิ (Baptistery of San Giovanni) ที่สามารถเข้าไปเพ่งมองระยะใกล้ได้
พื้นที่ของพิพิธภัณฑ์ถูกสร้างขึ้นมาพร้อมกับการลงเสาเอกของอาสนวิหารในปี ค.ศ.1296 เพื่อใช้เป็นสถานที่ออกแบบสร้างสรรค์งานทุกสาขาอันเป็นส่วนประกอบของโบสถ์ ทั้งเป็นห้องทำงานของฟิลิปโป บรูเนลเลสกี (Filippo Brunelleschi) สถาปนิกผู้สร้างโดมตลอดเวลาหลายสิบปี เขาทดสอบการสร้างโดมภายในห้องลับที่นี่ และรูปปั้นเดวิดของไมเคิลแอลเจโล (Michael Angelo) ซึ่งเดิมตั้งใจใช้ประดับโดมก็ซุ่มทำอยู่ในห้องใดห้องหนึ่ง เมื่ออาสนวิหารสร้างเสร็จที่นี่ก็เปลี่ยนเป็นสำนักงาน Opera di Santa Maria del Fiore ที่ทำหน้าที่ดูแลบำรุงรักษาอาสนวิหารตลอดมาจนปัจจุบัน (คำว่า Opera ในชื่อสำนักงานนี้มีรากศัพท์มาจากภาษาละตินว่า Opus แปลว่า งาน, ผลงาน, การสร้างสรรค์)
ผู้เขียนประทับใจพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ตั้งแต่ก้าวแรก บนกำแพงมีรายชื่อของผู้คนที่มีส่วนร่วมในอาสนวิหาร หอศีลจุ่ม และหอระฆัง ตั้งแต่การสร้าง การตกแต่ง การขยายตัว และการอนุรักษ์ ไม่ว่าจะเป็นสถาปนิก คนงาน ช่างฝีมือ จิตรกร ประติมากร นักดนตรี จนถึงนักโบราณคดี บุคคลทั้งหลายที่เคยทำงานที่นี่ตลอดเวลาหลายร้อยปีถูกจารึกชื่อไว้
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ หากตั้งใจชมอย่างจริงจังคงต้องใช้เวลาครึ่งค่อนวันเป็นอย่างน้อย มีหลายส่วนที่ผู้เขียนชอบ ถ้าให้เล่าทั้งหมดคงยาวมากจึงขอยกตัวอย่างมาเพียงบางห้องและบางชิ้น
จัตุรัสแห่งสวรรค์
ห้องโถงขนาดใหญ่โถงแรกตั้งใจจำลองพื้นที่ระหว่างหอศีลจุ่มและประตูทางเข้าอาสนวิหาร
ภาพที่ 1 กล้องไม่อาจเก็บภาพทั้งหมดของห้องโถงได้ ทางซ้ายคือประตูหอศีลจุ่มและ
ประติมากรรมเหนือประตู ทางขวาคือแผงตกแต่งส่วนหน้า (Façade) ของอาสนวิหาร
ประตู 3 บานจัดเรียงสอดคล้องกับสถานที่ตั้งภายนอก อันที่จริงประตูทุกบานเคยตั้งอยู่ทิศตะวันออก (ทิศที่หันไปยังด้านหน้าอาสนวิหาร) เมื่อสร้างบานถัดมาจึงค่อยย้ายไปทางทิศเหนือและทิศใต้ตามลำดับ ประตูบานซ้ายสุดในภาพเป็นประตูที่ตั้งอยู่ทางทิศใต้ในปัจจุบันและเป็นประตูบานที่เก่าแก่ที่สุด สร้างโดยอันเดรีย ปิซาโน (Andrea Pisano) ประมาณทศวรรษที่ 1330 แสดงภาพชีวิตของนักบุญจอห์น ลักษณะงานเป็นแบบโกธิก (Gothic)
อีก 2 บานเป็นฝีมือของลอเรนโซ กีแบร์ตี (Lorenzo Ghiberti) บานที่อยู่ด้านขวาสุด สร้างในปี ค.ศ.1403-1425 ใช้เวลานาน 22 ปี เล่าเรื่องชีวิตของพระคริสต์ (พันธสัญญาใหม่) ในปัจจุบันของปลอมตั้งอยู่ทิศเหนือของหอศีลจุ่ม กีแบร์ตีได้ทำงานประตูชุดนี้เพราะประกวดชนะแบบของบรูเนลเลสกีที่ออกแบบให้ดูมีชีวิตชีวา ซึ่งนับเป็นสิ่งใหม่สำหรับยุคนั้น ในขณะที่คณะกรรมการเมืองยังไม่พร้อมทำความเข้าใจแนวคิดแบบเรอเนซองส์และยังชอบความงามแบบโกธิก อีกทั้งกีแบร์ตียังเป็นช่างทองที่มีฝีมือมาก งานจึงดูสวยงามและใช้สำริดน้อยกว่า (สำริดมีราคาสูง) เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของการพิจารณา ชิ้นงานที่ทั้งคู่ใช้แข่งขันกันปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์บาร์เจลโล (Bargello Museum) ในฟลอเรนซ์
เมื่อเทียบกับประตูบานกลางที่ออกแบบด้วยคนเดียวกันก็เห็นว่าต่างกันมาก ประตูตะวันออกของกีแบร์ตีเป็นรูปแบบเรอเนซองส์แล้ว ประตูแห่งสวรรค์ (Gates of Paradise) สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1425-1452 ใช้เวลาถึง 27 ปี คนมักเล่าว่าชื่อนี้มาจากคำชมของไมเคิลแอนเจโล ทว่ามีคนกล่าวว่าพื้นที่บริเวณนั้นเรียกว่าประตูแห่งสวรรค์อยู่ก่อนแล้ว เพราะเมื่อผ่านพิธีศีลจุ่มคนก็พร้อมที่ก้าวผ่านประตูนี้ไปสู่สวรรค์คืออาสนวิหารแห่งฟลอเรนซ์ที่ตั้งอยู่ตรงข้าม ประตูชุดนี้เล่าเรื่องตามพันธสัญญาเดิมเป็นเรื่องพระเจ้าสร้างโลก กำเนิดมนุษย์ น้ำท่วมโลก ฯลฯ ในแต่ละช่องเล่าหลายเรื่องซ้อนกัน ประตูทั้งบานจึงเล่าเรื่องมากกว่า 50 เรื่อง กรอบประตูมีรูปครึ่งตัวของคน 24 คน เป็นผู้มีชื่อเสียงในสมัยนั้นรวมถึงตัวศิลปินเองด้วย
ภาพที่ 2 ประตูของจริงจากหอศีลจุ่ม จากซ้ายไปขวา ประตูทิศใต้ ฝีมืออันเดรีย ปิซาโน,
ประตูทิศตะวันออก และทิศเหนือ ฝีมือลอเรนโซ กีแบร์ตี
อีกฝั่งหนึ่งของห้องโถงเป็นงานตกแต่งด้านหน้าของอาสนวิหารจำลองตามที่อาร์โนลโฟ ดิ กัมบิโอ (Arnolfo di Cambio) ผู้ออกแบบอาสนวิหารออกแบบไว้ แต่สร้างไปได้เพียง 1 ใน 3 เขาก็เสียชีวิต (ประมาณปี ค.ศ.1302-1310) งานถูกทิ้งไว้โดยไม่มีการสร้างต่อแล้วโดนรื้อในปี ค.ศ.1587 งานประติมากรรมที่จัดแสดงไว้ด้านล่างในระดับสายตาเป็นของจริงที่เคยตกแต่งบนผนัง และทำจำลองลักษณะการจัดวางไว้บนผนังด้านบน ฟาซาด (façade) ของอาสนวิหารในปัจจุบันเพิ่งสร้างขึ้นปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 นี้เอง เปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ.1887 เป็นเวลา 300 ปีจากที่งานของอาร์โนลโฟ ดิ กัมบิโอถูกรื้อ
แมรี่ แมกดาลีน ผู้สำนึกผิด
เรื่องของแมรี่ แมกดาลีนนั้นน่าสนใจและรูปแกะสลักไม้ “แมรี่ผู้สำนึกผิด” ฝีมือโดนาเทลโล (Donatello) ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน ห้วงเวลาที่เขาสร้างรูปนี้ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ อาจเป็นไปได้ตั้งแต่ทศวรรษที่ 1430s – 1450s (หลักฐานช่วงหลังมีแนวโน้มไปในปี 1430s)
ความน่าสนใจอยู่ที่เรื่องเล่าของแม่รี่ แมกดาลีน มีเยอะมากแต่แทบพิสูจน์ความจริงไม่ได้เลย และยิ่งไม่รู้ว่าอะไรจริงก็ยิ่งมีผู้แต่งขยายเรื่องเธอออกไป แม้กระทั่งเรื่องที่กล่าวหาว่าเธอเป็นโสเภณีก็เพิ่งเล่าขานกันในศตวรรษที่ 6 รวมถึงในนิยาย Davinci Code ของแดน บราวน์ก็แต่งเรื่องเธอไว้อย่างน่าทึ่งจนชวนให้คิดว่าเป็นเรื่องจริงเหมือนกัน
แมรี่เป็นหญิงผู้หนึ่งในกลุ่มสตรีที่ศรัทธาในคำสอนและติดตามพระคริสต์มายังเยรูซาเลมในการเดินทางครั้งสุดท้าย และได้เป็นประจักษ์พยานในการฟื้นคืนพระชนม์ แมรี่ผู้งดงามและเป็นคนบาปถูกปนเปด้วยเรื่องของแมรี่ที่ภิกขาจารและตายไปในทะเลทรายอียิปต์ซึ่งแต่งขึ้นในศตวรรษที่ 7 ขณะที่ศิลปินส่วนใหญ่สร้างรูปแมรี่เป็นสาวสวย ดูเหมือนว่าโดนาเทลโลรวมเอาเรื่องเล่าทั้งหมดของเธอบรรจุลงในงานของเขา โดยเลือกแสดงภาพเป็นหญิงชราผ่ายผอมผมรุงรังเท้าเปลือยเปล่าเหยียบบนหินแหลมคม ใบหน้าและดวงตาที่ส่อแววหลากหลายอารมณ์ความรู้สึกที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ไม่ว่าเรื่องราวทั้งหมดจะเป็นจริงหรือไม่ แต่ก็เป็นเรื่องราวที่สร้างศรัทธาและความเกื้อกูลจิตใจแก่ผู้คนจำนวนมาก โดยเฉพาะคนบาปที่ไม่เป็นที่ยอมรับของสังคม
ภาพที่ 3 (ซ้าย) รูปปิเอต้าของไมเคิลแอนเจโล และ (ขวา) แมรี่ แมกดาลีน ผู้สำนึกผิด
ปิเอต้า (Pietà) ของไมเคิลแอนเจโล
ปิเอต้าเป็นชื่อเรียกภาพเขียนหรือประติมากรรมที่แสดงพระแม่มารีกำลังประคองร่างไร้ชีวิตของพระคริสต์ไว้ในอ้อมแขน ฉากต่อเนื่องจาก The Deposition หรือการเคลื่อนย้ายร่างลงจากไม้กางเขน ไมเคิลแอนเจโลสร้างรูปปิเอต้าไว้หลายรูป แต่รูปนี้มีความพิเศษที่มีตัวละครหลายตัวเพิ่มขึ้นนอกจากพระแม่มารีกับพระคริสต์ ไมเคิลแอนเจโลสร้างรูปปั้นนี้ระหว่างอยู่ที่โรมในปี ค.ศ.1547-1555 กล่าวกันว่าเขาตั้งใจใช้ประดับสุสานของตัวเอง และชายลึกลับที่ยืนอยู่ด้านหลังพระแม่มารีอาจเป็นรูปแทนตัวเขาก็ได้ (หากพิจารณาการแต่งกายคาดว่าน่าจะเป็นนิโคเดมัส หนึ่งในสองคนที่ช่วยปลดร่างพระคริสต์ลงจากไม้กางเขน) แต่แล้ววันหนึ่งเขาก็ลุกขึ้นมาทุบทำลายประติมากรรมที่จวนจะเสร็จ แล้วยกให้แก่คนรับใช้ในบ้านซึ่งนำไปขาย เจ้าของใหม่จ้างลูกศิษย์ของเขามาซ่อมแซมบางส่วน ในปี ค.ศ.1671 โคซิโมที่ 3 (Cosimo III de' Medici) ได้ซื้อรูปนี้แล้วนำมาตั้งไว้ในโบสถ์ซานลอเรนโซ (San Lorenzo) จนกระทั่งในปี ค.ศ.1722 รูปปิเอต้าได้มาอยู่ที่อาสนวิหารฟลอเรนซ์
เหตุใดไมเคิลแอนเจโลจึงทุบรูปปิเอต้าเป็นประเด็นวิเคราะห์วิจารณ์มาตั้งแต่สมัยของเขา โดยวาซารี (Giorgio Vasari (1511-1574) ศิลปินและนักประวัติศาสตร์ศิลปะ) สันนิษฐานว่าเพราะหินอ่อนมีตำหนิ นักวิชาการปัจจุบันเชื่อว่าเขาตั้งใจทำเพราะต้องการเปลี่ยนรูปแบบ อย่างไรก็ตามแม้จะเป็นรูปที่ไม่เสร็จสมบูรณ์ก็ยังเป็นรูปที่สวยงามและมีพลังอยู่ดี ดังเห็นได้จากร่องรอยของสิ่วที่จารึกพลังงานที่ส่งทอดผ่านมือของไมเคิลแอนเจโล ซึ่งอาจไม่ได้เห็นถ้างานชิ้นนี้เสร็จสมบูรณ์
ห้องจัดแสดงนี้อุทิศให้ไมเคิลแอนเจโล ที่ผนังด้านหนึ่งมีบทกวีที่เขาเขียนไว้ในช่วงบั้นปลายของชีวิต
ห้องนิทรรศการเกี่ยวกับการสร้างโดมของบรูเนลเลสกี
โดมของอาสนวิหารฟลอเรนซ์มักถูกเรียกว่า โดมของบรูเนลเลสกี (Brunelleschi’s Dome) ในปัจจุบันยังครองตำแหน่งโดมที่ก่อด้วยอิฐที่ใหญ่ที่สุดในโลก กล่าวกันว่าบรูเนลเลสกีฝึกฝนงานช่างทุกชนิดมาก่อน แต่งานที่สร้างชื่อเสียงให้มากที่สุดเป็นงานด้านสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมของโดมแห่งฟลอเรนซ์ เขาแข่งขันงานสร้างประตูสำริดกับกีแบร์ตี ประชันงานแกะสลักรูปตรึงกางเขนกับโดนาเทลโลเพื่อนคู่กัด ชีวิตของเขาส่วนใหญ่ต้องต่อสู้กับการไม่ได้รับการยอมรับ เพราะเขาเป็นหนึ่งในคนที่บุกเบิกการนำเสนอมุมมองใหม่แบบเรอเนซองส์
โจทย์ที่เป็นเอกฉันท์ของรูปแบบสถาปัตยกรรมเมืองฟลอเรนซ์คือ “ไม่เอาครีบ” ส่วนค้ำยันภายนอกที่ใช้ช่วยรับน้ำหนักหลังคาแบบโกธิกกลายเป็นของต้องห้ามในฟลอเรนซ์ เมื่อแบบจำลองรูปโดมของเนรี ดิ ฟิโอราวันตี (Neri di Fioravanti) ได้รับเลือกในปี ค.ศ.1367 เป็นใบเบิกทางสถาปัตยกรรมให้กลับไปสู่โดมแบบคลาสสิก ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุการณ์แรกๆ ที่ถือเป็นจุดเริ่มต้นของยุคเรอเนซองส์ของอิตาลี
กำแพงรูปแปดเหลี่ยมเปิดทิ้งไว้หลายสิบปีเพราะไม่มีใครสามารถแก้ปัญหาเรื่องโครงสร้างของโดมควรเป็นอย่างไรและวิธีที่จะก่อสร้างมัน แม้ว่าฟลอเรนซ์จะเชิญช่างทั้งยุโรปให้มาเสนองานก็ตาม ปัญหาคือฐานโดมมีขนาดใหญ่และต้องเริ่มต้นสร้างจากจุดที่สูงมาก โดมจะรับน้ำหนักตนเองไว้ด้วยเทคนิคใด การนำวัสดุอุปกรณ์การก่อสร้างรวมถึงช่างขึ้นไปได้อย่างไร การทำนั่งร้านคงใช้ไม้หมดป่าเป็นแน่ แล้วมั่นใจได้อย่างไรว่าโดมจะไม่ยุบถล่มลงมาระหว่างก่อสร้าง
ภาพที่ 4 โมเดลไม้ของโดมและส่วนยอด ฝีมือบรูเนลเลสกี
บรูเนลเลสกีเสนอโดมสองชั้นที่ซ่อนครีบไว้ข้างใน ก่อด้วยอิฐเพื่อลดน้ำหนัก ไม่มีการใช้ไม้แบบ ก่ออิฐไปทีละแถวจากฐานถึงยอดและโดมก็ค่อยๆ รองรับน้ำหนักตัวเองดูเป็นสิ่งที่สร้างความประหลาดใจมากที่สุด การวางแผนการก่อสร้างที่เที่ยงตรงและการออกแบบกลไกเครื่องทุ่นแรงของบรูเนลเลสกียังเป็นเรื่องที่น่าหลงใหลสำหรับช่างตั้งแต่ยุคนั้นทั้งเลโอนาร์โด ดา วินชีในวัยหนุ่ม และไมเคิลแอนเจโลที่ได้แรงบันดาลใจไปสร้างโดมของมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ โดมแห่งนี้ใช้ช่างฝีมือเพียงชุดละ 60 คนในการก่ออิฐ ตลอดระยะเวลา 16 ปีของการก่อสร้างมีผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุ 8 คนและเสียชีวิตเพียง 1 คน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าโดมคือความภาคภูมิใจของชาวเมืองฟลอเรนซ์ตลอดเวลาหลายร้อยปี
ไม่มีใครรู้รายละเอียดของการออกแบบเพราะบรูเนลเลสกีเก็บเป็นความลับ อาจเข้าใจได้เพราะดูเหมือนความอาภัพของเขายังไม่จบ หลังจากสร้างโดมเสร็จต้องมีการสร้างหอที่เป็นช่องรับแสงบนยอดโดมเพื่อผูกโครงสร้างทั้งหมดเข้าด้วยกันและเป็นฟังก์ชั่นทางวิศวกรรมที่ต้องสง่างามเพราะเปรียบเสมือนมงกุฎของอาคารทั้งหมด เมืองฟลอเรนซ์ไม่ให้บรูเนลเลสกีทำงานต่อโดยอัตโนมัติแต่จัดประกวดแบบอีกครั้ง บรูเนลเลสกีซึ่งขณะนั้นเป็นนายช่างใหญ่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์และก็เริ่มสูงวัยแล้ว เขาจ้างช่างไม้ให้ทำโมเดลตามแบบที่เขาร่างแต่ถูกปฏิเสธ เพราะช่างคนนั้นก็ต้องการเข้าประกวดเหมือนกัน บรูเนลเลสกีในวัย 59 ปีจึงต้องแกะไม้ทำโมเดลด้วยตนเอง เขาเป็นผู้ชนะ แต่เขาก็ไม่ได้เห็นมันสร้างเสร็จ เพราะเสียชีวิตในขณะงานก่อสร้างเพิ่งเริ่ม
ภาพที่ 5 โดมของบรูเนลเลสกียามสนธยา ถ่ายจากหอระฆัง โปรดสังเกตขนาดของคนบนยอดโดม
ในห้องจัดแสดงมีการฉายสารคดีอธิบายว่าโดมสร้างขึ้นได้อย่างไร มีแบบจำลองไม้ที่ใช้ในการประกวดแบบ หน้ากากแห่งความตายของบรูเนลเลสกี (death mask สมัยนั้นนิยมหล่อจากใบหน้าคนตาย) โมเดลของสิ่งประดับตกแต่งต่างๆ และส่วนหนึ่งของอุปกรณ์และเครื่องมือที่ใช้ในการก่อสร้าง (มีอีกบางส่วนจัดแสดงอยู่ระหว่างทางขึ้นไปบนยอดโดม) ฯลฯ
พิพิธภัณฑ์ยังมีสิ่งน่าสนใจอีกมากมาย เช่น ห้องจัดแสดงพระธาตุซึ่งมีพระธาตุชิ้นสำคัญ ได้แก่ โซ่ที่ใช้พันธนาการนักบุญปีเตอร์ อัฐิธาตุส่วนกรามของนักบุญจอห์นเดอะแบบติสต์ และอัฐิธาตุของนักบุญอีกหลายท่าน ห้องจัดแสดงแผงกั้นส่วนนักร้องประสานเสียง เป็นการประชันงานประติมากรรมนูนต่ำฝีมือของรอบเบีย (Luca della Robbia) และโดนาเทลโล ซึ่งสวยงามมากทั้งสองชิ้น
ตั๋วเข้าชมพิพิธภัณฑ์อยู่ในชุดกีแบร์ตี้พาส (Ghiberti Pass) ราคา 15 ยูโร มีอายุ 3 วัน และสามารถเข้าชมสถานที่ได้ 3 แห่ง ได้แก่ โบสถ์ซานตาเรปาราตา (Santa Reparata) หอศีลจุ่มซานจิโอวานนิ (Florence Baptistry) และพิพิธภัณฑ์ อ่านรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ทางการของพิพิธภัณฑ์ ซึ่งมีเรื่องให้อ่านและคลิปวิดิโอที่น่าสนใจมากมายอ่านได้เพลินๆ https://tickets.duomo.firenze.it/en/store#/en/buy?skugroup_id=3006
แหล่งที่มาของข้อมูล
https://duomo.firenze.it/en/474/sala-del-paradiso
https://archive.artic.edu/ghiberti/themes.html
The neo-Gothic facade of Florence Cathedral: A brief history of the last great artistic undertaking for Santa Maria del Fiore, 2022
https://duomo.firenze.it/en/opera-magazine/post/6558/the-neo-gothic-facade-of-florence-cathedral_
Kelly Dames-Oliver. Legendary Penance: Donatello's Wooden Magdalen
The Artistic Adventure of Mankind: Historiographies of Art
Filippo Brunelleschi: The dome of Santa Maria del Fiore.