ร่างกายมนุษย์มีเลือดเป็นส่วนประกอบสำคัญ ของเหลวสีแดงชนิดนี้ประกอบด้วย น้ำเลือด เกล็ดเลือด เซลล์เม็ดเลือดแดง และเซลล์เม็ดเลือดขาว ในร่างกายมีเลือดอยู่ราว 5 ลิตร ทำหน้าที่สำคัญในการลำเลียงก๊าซออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายเวลาหายใจเข้า และนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกเวลาหายใจออก นอกจากนี้ยังช่วยดูดซึมสารอาหาร เพื่อไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ช่วยรักษาสมดุลน้ำและเกลือแร่ และช่วยรักษาอุณหภูมิร่างกาย
ขณะที่อวัยวะต่าง ๆ ของมนุษย์ มีหน้าที่แตกต่างกันไป เช่น หัวใจทำหน้าที่สูบฉีดเลือด ตับทำหน้าที่สะสมอาหารเพื่อให้ร่างกายนำไปใช้งาน ตับอ่อนทำหน้าที่สร้างน้ำย่อยสำหรับย่อยไขมัน ไตทำหน้าที่ขับของเสียออกจากร่างกาย และควบคุมความดันโลหิต ปอดทำหน้าที่แลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนจากสิ่งแวดล้อมเข้าสู่ระบบเลือดในร่างกาย และเอาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากระบบเลือดสู่สิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ เลือดยังหล่อเลี้ยงให้อวัยวะต่าง ๆ ทำงานได้ปกติ หากขาดอวัยวะใดอวัยวะหนึ่งไปร่างกายมนุษย์ย่อมไม่สมบูรณ์ ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและการใช้ชีวิตอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง กล่าวได้ว่าเลือดและอวัยวะต่าง ๆ มีหน้าที่หล่อเลี้ยงซึ่งกันและกัน
เมื่อครั้งที่มนุษย์ยังไม่มีวิวัฒนาการทางการแพทย์ล้ำสมัยเช่นทุกวันนี้ เลือดและอวัยวะจึงหมดสภาพไปพร้อมร่างกายที่ตายไป ไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้ ในปัจจุบันคุโณปการของการบริจาคเลือด และบริจาคอวัยวะสามารถนำไปช่วยชีวิต และต่อลมหายใจของเพื่อนมนุษย์ได้อย่างเป็นประโยชน์สูงสุด แต่กว่าที่การบริจาคเลือดและอวัยวะจะก้าวหน้ามาถึงทุกวันนี้มีประวัติความเป็นมายาวนานไม่น้อย
สมัยโบราณกาล ชาวอียิปต์เชื่อว่าเมื่อเจ็บป่วยควรนำเลือดออกจากร่างกายเพื่อรักษาโรคภัย จนถึงคริสต์ศตวรรษ 1800 มีการถกเถียงกันว่าการนำเลือดออกจากร่างกายนั้นเป็นสิ่งควรกระทำหรือไม่ ปฏิบัติการถ่ายเลือดจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1492 ทว่าไม่ประสบผลสำเร็จ จนกระทั่งปี ค.ศ. 1628
วิลเลียม ฮาร์วีย์ (William Harvey) แพทย์ชาวอังกฤษ ค้นพบการทำงานของหัวใจและระบบการไหลเวียนของเลือดในร่างกาย ต่อมาในปี ค.ศ. 1667 จึงมีการทดลองถ่ายเลือดสำเร็จเป็นครั้งแรก แต่เป็นการถ่ายเลือดจากแกะสู่คน
ภาพที่ 1 วิลเลียม ฮาร์วีย์ แพทย์ชาวอังกฤษ
แหล่งที่มาภาพ https://th.m.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%A5%E0%B9%8C:William_Harvey_2.jpg
ในปี ค.ศ. 1818 การถ่ายเลือดจากคนสู่คนจึงประสบผลสำเร็จเป็นครั้งแรก ต่อมาในปี ค.ศ. 1901 มีการค้นพบหมู่เลือด 3 หมู่ ได้แก่ เอ (A) บี (B) และโอ (O) และค้นพบอีกหนึ่งหมู่ในปีถัดมา ได้แก่ เอบี (AB) โดยการเก็บเลือดหมู่โอจากผู้บริจาคของแพทย์ทหารเพื่อสำรองไว้ใช้ในสงครามโลกครั้งที่ 1 จนต่อมามีการพัฒนาอุปกรณ์การรับบริจาคเลือด มีการตั้งศูนย์บริจาคเลือดอย่างเป็นระบบ
ภาพที่ 2 การถ่ายเลือดจากแกะสู่คน
แหล่งที่มาภาพ https://www.scimath.org/article-biology/item/7418-2017-08-08-07-40-26
ในแวดวงการไปรษณีย์นานาชาติตระหนักถึงความสำคัญของการบริจาคเลือดจึงได้จัดสร้างแสตมป์ขึ้นเพื่อส่งเสริมให้ผู้คนในประเทศเห็นความสำคัญของการบริจาคเลือดในอีกทางหนึ่ง ตัวอย่างเช่นการไปรษณีย์ไต้หวัน ได้ร่วมรณรงค์การบริจาคเลือดอย่างถูกต้องโดยอาสาสมัคร โดยออกแสตมป์มา 2 แบบ แบบที่ 1 ภาพคนกำลังบริจาคเลือดและถุงเลือด แบบที่ 2 ภาพกราฟิกคนสีแดงและคนสีขาว สื่อถึงการให้เลือดแก่ผู้ป่วย ออกจำหน่ายวันที่ 5 พฤษภาคม ค.ศ. 1977 ที่มาของแสตมป์และการรณรงค์ครั้งนี้ ต้องย้อนไปถึงการสำรองเลือดในไต้หวันก่อน ค.ศ. 1974 เพราะมีการรับบริจาคไม่ถูกวิธี ทำให้ได้เลือดไม่ปลอดภัยและมีเชื้อโรค แถมผู้บริจาคยังได้รับเงิน ทำให้สร้างชื่อเสียงในทางไม่ดีแก่ประเทศ จนนำมาสู่การเคลื่อนไหวให้บริจาคอย่างถูกต้อง และก่อตั้งสมาคมการบริจาคเลือดแห่งไต้หวันขึ้นในที่สุด
ภาพที่ 3 แสตมป์รณรงค์การบริจาคเลือดอย่างถูกต้องโดยอาสาสมัคร (การไปรษณีย์ไต้หวัน)
แหล่งที่มาภาพ https://bit.ly/41Q7GeI
การไปรษณีย์โปแลนด์เห็นความสำคัญของการบริจาคเลือดเช่นกัน เนื่องในวันผู้บริจาคโลหิตโลก คือในวันที่ 14 มิถุนายนของทุกปี เพื่อระลึกถึงผู้บริจาคเลือด และนายแพทย์คาร์ล ลันด์สไตเนอร์ แพทย์ชาวออสเตรีย/อเมริกัน ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์ (สรีรวิทยา) จากการค้นพบหมู่โลหิต แสตมป์ดวงนี้เป็นภาพหยดเลือดรูปหัวใจที่กำลังหยดลงหยดเลือดรูปหัวใจที่มีช่องว่าง สื่อถึงการเติมเต็มให้กับผู้รับบริจาค ออกจำหน่าย
วันผู้บริจาคโลหิตโลก ปี ค.ศ. 2015
ภาพที่ 4 แสตมป์เนื่องในวันผู้บริจาคโลหิตโลก (การไปรษณีย์โปแลนด์)
แหล่งที่มาภาพ https://www.stampsoftheworld.co.uk/wiki/Poland_2015_World_Blood_Donor_Day
สำหรับการบริจาคอวัยวะ เริ่มมีการปลูกถ่ายอวัยวะในยุคกลาง ส่วนการปลูกถ่ายอวัยวะจนประสบผลสำเร็จครั้งแรกเป็นารปลูกถ่ายผิวหนังในปี ค.ศ. 1869 กระทั่งปี ค.ศ. 1959 สหรัฐอเมริกามีการปลูกถ่ายไตจากแฝดคนหนึ่งไปสู่แฝดอีกคนหนึ่งเป็นผลสำเร็จ ต่อมาในปี ค.ศ. 1967 ประสบผลสำเร็จในการปลูกถ่ายตับและหัวใจ และมีการปลูกถ่ายอวัยวะ เช่น ตับอ่อน ปอด มือ ประสบผลสำเร็จตามมา ทั้งยังมีการคิดค้นยา Cyclosporine เพื่อป้องกันร่างกายผู้ป่วยต่อต้านการรับอวัยวะจากผู้บริจาค ก่อนขยับขยายไปสู่การตั้งศูนย์ปลูกถ่ายอวัยวะในหลายประเทศ
ภาพที่ 5 นายแพทย์คาร์ล ลันด์สไตเนอร์ แพทย์ชาวออสเตรีย/อเมริกัน
แหล่งที่มาภาพ https://www.scimath.org/article-biology/item/7418-2017-08-08-07-40-26
ไม่เพียงการบริจาคเลือดเท่านั้นที่การไปรษณีย์นานาชาติให้ความสำคัญ การบริจาคอวัยวะก็เป็นอีกประเด็นที่การไปรษณีย์นานาชาติเล็งเห็นความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ดังเช่นการไปรษณีย์สเปน บรรจุแนวคิดการบริจาคอวัยวะไว้บนดวงแสตมป์ชุดคุณธรรมของพลเมือง ออกแบบเป็นภาพกราฟิกคนกำลังเชื่อมต่ออวัยวะให้กับอีกคนหนึ่ง ออกจำหน่ายวันที่ 16 พฤษภาคม ค.ศ. 2015 เหตุที่สเปนให้ความสำคัญกับการบริจาคอวัยวะเพราะมีอัตราผู้บริจาคอวัยวะสูงจนเป็นประเทศที่มีผู้บริจาคอวัยวะสูงสุดในโลกถึง 26 ปีติดต่อกัน อีกสาเหตุที่ประเทศนี้ประสบผลสำเร็จด้านการบริจาคอวัยวะ เพราะมีระบบการบริจาคอัตโนมัติ หากผู้เสียชีวิตไม่แจ้งก่อนเสียชีวิตว่าไม่ต้องการบริจาค การบริจาคอวัยวะจะดำเนินการโดยอัตโนมัติ
ภาพที่ 6 แสตมป์ชุดคุณธรรมของพลเมือง (การไปรษณีย์สเปน)
แหล่งที่มาภาพ https://www.sellosfilatelicos.com/2016/02/valores-civicos-ano-2007.html?m=1
นอกจากนี้การไปรษณีย์ไอร์แลนด์ก็เล็งเห็นความสำคัญของการบริจาคอวัยวะเช่นกัน ด้วยการออกแสตมป์เพื่อรณรงค์ถึงสัปดาห์การตระหนักถึงการบริจาคอวัยวะ แสตมป์เป็นภาพนาฬิกาทรายรูปหัวใจ สื่อถึงเวลาอันมีค่าและของขวัญจากการให้อวัยวะเพื่อมอบชีวิตให้เพื่อนมนุษย์ ออกจำหน่ายวันที่ 21 มีนาคม ค.ศ. 2019 ทั้งนี้ ในประเทศไอร์แลนด์สามารถบริจาคอวัยวะได้ที่โรงพยาบาลทั่วประเทศ ทุกวันไม่มีวันหยุด และสามารถทำได้ตลอด 24 ชั่วโมง
ภาพที่ 7 แสตมป์เพื่อรณรงค์ถึงสัปดาห์การตระหนักถึงการบริจาคอวัยวะ (การไปรษณีย์ไอร์แลนด์) https://www.mintageworld.com/media/detail/9096-an-posts-organ-donor-stamp/
สำหรับประเทศไทย ปัจจุบันประชาชนนิยมบริจาคโลหิตกันในวงกว้าง โดยสภากาชาดและโรงพยาบาลต่าง ๆ ออกหน่วยเคลื่อนที่อย่างสม่ำเสมอเพื่ออำนวยความสะดวกต่อการบริจาคในพื้นที่ต่างๆ เช่น บริษัท ห้างสรรพสินค้า เป็นต้น นับเป็นการรับบริจาคเชิงรุกเพื่อให้มีเลือดสำรองไว้ใช้งาน ทว่าการบริจาคอวัยวะยังไม่ได้รับความร่วมมืออาจมีเรื่องความเชื่อการกลับชาติมาเกิดใหม่จะมีอวัยวะไม่ครบสมบูรณ์ก็เป็นได้
ภาพที่ 8 แสตมป์ชุดที่ระลึกงานกาชาด 2521
ในการรณรงค์ผ่านแสตมป์ ไปรษณีย์ไทยเคยจัดสร้างแสตมป์ว่าด้วยการบริจาคโลหิตในชื่อชุดที่ระลึกงานกาชาด 2521 ภาพการบริจาคโลหิตให้แก่สภากาชาดไทยเพื่อนำไปช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่เจ็บป่วย โดยมีคำขวัญบนดวงแสตมป์ว่า “บริจาคโลหิต ช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ GIVE BLOOD SAVE LIFE” ราคาหน้าดวง 2.75+0.25 บาท (ราคา 0.25 ที่บวกในแต่ละดวงบริจาคให้สภากาชาดไทย) วันแรกจำหน่าย 6 เมษายน พ.ศ. 2521 เพื่อกระตุ้นให้คนบริจาคเลือดและอวัยวะ ช่วยต่อชีวิตคนได้อีกหลายชีวิต เป็นการให้ที่ดีที่สุดและเป็นบุญกุศลอย่างสุดเหลือคณาด้วย
ข้อมูลอ้างอิง
หนังสือ 130 ปี ตราไปรษณียากร เล่ม 1
นิตยสารแสตมป์และสิ่งสะสม ฉบับ เม.ย. 2562
https://www.scimath.org/article-biology/item/7418-2017-08-08-07-40-26