ค่ำคืนหนึ่งที่อาคารผู้โดยสารของสนามบินเซี่ยงไฮ้ผู่ตง สาธารณรัฐประชาชนจีน เก้าอี้ใกล้ประตูทางออกขึ้นเครื่องบินแน่นขนัดด้วยผู้คนที่จับจองเต็มทุกที่นั่ง หนึ่งในนั้นคือผู้เขียนที่เฝ้ามองนาฬิกาอย่างจดจ่อ รอเวลาเดินทางไปยังจุดหมายต่อไป นาฬิกาในสนามบินระบุเวลา 22 นาฬิกาซึ่งเป็นเวลาขึ้นเครื่องแล้วแต่ยังไม่มีประกาศเรียกจนหลายคนเริ่มกระสับกระส่าย เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ตารางเที่ยวบินก็ปรากฏข้อความว่าเที่ยวบินนั้น “ล่าช้า” ทำให้รับรู้ว่าการเดินทางไกลต้องยืดเยื้อ ผู้เขียนจึงลุกขึ้นไปเดินยืดเส้นยืดสายใกล้ ๆ
ช่วงหัวค่ำระหว่างทางเดินมาที่ประตูทางออกขึ้นเครื่อง ผู้เขียนเหลือบเห็นคำว่า “museum” ในป้ายบอกทาง จึงเดินหาที่ตั้งพิพิธภัณฑ์และพบว่าตั้งอยู่ประตูทางออกขึ้นเครื่องหมายเลข D90 มีป้ายติดไว้ว่า “พิพิธภัณฑ์แห่งสนามบินผู่ตง” พร้อมภาพนาฬิกาแสนสวยคลาสสิกขนาดใหญ่เต็มตา
ภาพที่ 1 ห้องจัดแสดงในอาคารผู้โดยสาร สนามบินเซี่ยงไฮ้ผู่ตง
ห้องนิทรรศการมีพื้นที่ไม่มากนัก ทว่าตรงข้ามกับมูลค่าของวัตถุที่จัดแสดงในห้อง ตู้กระจกที่ตั้งเรียงตามแนวผนังห้องและตั้งขวางอยู่กลางห้องล้วนแต่มีนาฬิกาสวยแปลกตาหลายสิบเรือน ทั้งแบบตั้งโต๊ะขนาดใหญ่ ขนาดย่อม และขนาดเล็กจิ๋ว นาฬิกาเหล่านี้เป็นคอลเล็กชันของนักสะสม นามว่า Dr.Li Dalai อดีตวิศวกรผู้หลงใหลมนต์เสน่ห์ของเครื่องบอกเวลา
บริเวณทางเข้ามีป้ายเกริ่นนำถึงวิวัฒนาการของนาฬิกา สมัยโบราณมนุษย์ใช้นาฬิกาแดดและนาฬิกาน้ำ ในศตวรรษที่ 14 ใช้นาฬิกาจักรกลที่มีฟันเฟืองเป็นส่วนประกอบสำคัญ ต่อมา คริสเตียน ฮอยเกนส์ (Christian Huygens) นักฟิสิกส์ผู้ยิ่งใหญ่ในศตวรรษที่ 17 ได้ประดิษฐ์นาฬิกาลูกตุ้มที่สามารถบอกเวลาได้เที่ยงตรงยิ่งขึ้น จนถึงปลายศตวรรษที่ 18 จอห์น แฮร์ริสัน (John Harrison) แก้ปัญหาการหาลองจิจูดขณะอยู่กลางทะเลโดยประดิษฐ์นาฬิกาสำหรับการเดินเรือ (marine chronometer) และในศตวรรษที่ 19 นาฬิกาได้ถูกพัฒนาให้มีความเที่ยงตรงมากยิ่งขึ้นด้วยกลไกที่ประกอบด้วยเมนสปริง (mainspring) และจักรกรอก (balance wheel) จากนั้นนาฬิกาจึงพัฒนามาสู่ระบบอิเล็กทรอนิกส์ในศตวรรษที่ 20
ผู้เขียนเดินไล่ดูนาฬิกาในตู้กระจกตั้งแต่ตู้แรกที่แสดงนาฬิกาเมย์วอร์ลี (May War Lee) ซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของเซี่ยงไฮ้ ประกอบขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1876 มีลักษณะเป็นกรอบไม้มะฮอกกานีและมีภาพนูนแกะสลักฝีมือประณีต หน้าปัดสีขาวมีตัวเลขโรมันและล้อมรอบด้วยทองแดง เทคนิคการผลิตของเมย์วอร์ลีทำให้นาฬิกากลายเป็นงานฝีมืออันวิจิตร และส่งผลให้การผลิตนาฬิกาของจีนมีความก้าวหน้าจนได้รับรางวัลระดับโลก เมื่อปี ค.ศ. 1915
ภาพที่ 2 นาฬิการูปพัด
ในตู้จัดแสดงมีนาฬิการูปทรงคล้ายกล่องไม้หลายเรือน แต่มีเรือนหนึ่งที่สะดุดตาเป็นพิเศษเพราะมีหน้าปัดรูปพัด นาฬิการูปพัด (Imperial Fan Clock) ออกแบบโดย อีกอร์ คาร์ล ฟาแบร์เช (Igor Carl Fabergé) นักออกแบบจิวเวลรีชาวฝรั่งเศส และเป็นรุ่นพิเศษที่ผลิตโดยบริษัทในประเทศอังกฤษเพียง 500 ชิ้น ราคาเปิดตัวอยู่ที่ 1,950 ดอลลาร์ (ประมาณ 70,000 บาท ในปัจจุบัน) กรอบนาฬิกาทำจากไม้ชิงชันและตกแต่งด้วยทองเหลือง ด้านบนตัวเรือนมีที่จับรูปห่วงดอกไม้ มีเข็มนาฬิกาสีเงินประดับเพชร ความน่าสนใจอยู่ตรงที่รอยจีบของพัดจะมีตัวเลขระบุไว้ เมื่อเวลาผ่านไปครบชั่วโมงรอยจีบจะคลี่ออก จนถึง 6 นาฬิกา รอยจีบจะพับกลับมาและเริ่มต้นรอบใหม่
ภาพที่ 3 นาฬิกาหินอ่อนสีขาวซึ่งมีกลิ่นอายของศิลปะกรีกโบราณและโรมัน
บรรดานาฬิกาที่ตั้งเรียงรายอยู่ในตู้ มีเรือนที่สวยหรูโดดเด่นอีก 2 เรือน คือ นาฬิกาหินอ่อนสีขาวมีฐานเสาปิดทอง ช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ประเทศในยุโรปโดยเฉพาะฝรั่งเศสมีค่านิยมเรื่องการแกะสลัก ปิดทอง และการใช้หินอ่อนเพื่อสื่อถึงความยิ่งใหญ่และความมั่งคั่ง นาฬิกาเรือนนี้มีลักษณะเช่นว่านั้น เพราะตกแต่งด้วยรูปฟาโรห์อียิปต์ที่เสาทั้งสอง ด้านบนประดับตัวกริฟฟิน (griffin) ซึ่งเป็นสัตว์ที่มีหัวและปีกเป็นนกอินทรี ส่วนลำตัวเป็นสิงโต และมีการปิดทองส่วนที่เป็นโลหะเพื่อเพิ่มความแวววาวและความหรูหรา นาฬิกาอีกเรือนหนึ่งที่สวยเด่นเป็นนาฬิกากรอบไม้พีชสไตล์พาวิลเลียน ตกแต่งด้วยทองและทองแดง ด้านหน้าและด้านข้างมีตุ๊กตานางฟ้า ด้านบนมีถ้วยโทรฟี (trophy) และมีเสียงระฆังบอกรอบเวลา
ภาพที่ 4 นาฬิกากรอบไม้พีชสไตล์พาวิลเลียน
ภาพที่ 5 นาฬิกาเข็มเดียว
นาฬิกาเข็มเดียว หากมองแบบผิวเผินจากระยะไกล มองดูคล้ายหน้าปัดตราชั่ง แต่นาฬิกาที่ออกแบบอย่างเรียบง่ายเรือนนี้กลับแฝงนัยลึกซึ้ง บนหน้าปัดมีตัวเลขสีดำระบุชั่วโมง ตัวเลขสีเหลืองระบุเวลาทุก 15 นาที และตัวเลขรอบนอกระบุเวลาทุก 5 นาที ซึ่งการบอกเวลาอย่างละเอียดเช่นนี้เพื่อให้มนุษย์ตระหนักถึงเวลาที่เคลื่อนผ่านไปทุกขณะ และเตือนให้ใช้ชีวิตดื่มด่ำไปกับห้วงเวลาในขณะนั้น
ภาพที่ 6 กลไกภายในนาฬิกาซึ่งใช้หลักการขยายตัวของก๊าซ
นิทรรศการนี้ทำให้ผู้เขียนได้สังเกตเห็นว่ากลไกการทำงานของนาฬิกามีหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นนาฬิกา เจเกอร์-เลอคูลทร์ แอทมอส (Jaeger-LeCoultre Atmos Clock) ซึ่งใช้หลักการขยายตัวเนื่องจากความร้อน (thermal expansion) เมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้น ก๊าซขยายตัวดันสปริงทำให้นาฬิกาเดิน และตรงกันข้าม เมื่ออุณหภูมิลดลงก๊าซจะปล่อยสปริงให้นาฬิกาเดินต่อ หรือนาฬิกาข้อมือบูโลวา แอคคิวตรอน (Bulova Accutron) ซึ่งเริ่มเป็นที่รู้จักในช่วงทศวรรษ 1960 ใช้การสั่นสะเทือนของส้อมเสียงถึง 360 ครั้งต่อวินาที ส้อมเสียงนี้ยังคงสภาพแม้อยู่ในที่มีอุณหภูมิสูงจึงได้นำไปใช้ในภารกิจด้านอวกาศอย่างยานอะพอลโล 11 (Apollo 11) ซึ่งลงจอดบนดวงจันทร์ด้วย และนาฬิกาที่น่าสนใจอีกเรือนหนึ่งคือ “นาฬิกา 8 วัน” มีกลไกการเคลื่อนไหวด้วยสปริง 8 วันต่อการเดิน 1 ครั้ง ทำให้ไม่ต้องไขลานบ่อย
ภาพที่ 7 นาฬิกาลูกตุ้มชนิดบิด (torsion clock)
นอกจากนี้นาฬิกาสี่ร้อยวัน (The 400-day Torsion Clock) เป็นอีกเรือนหนึ่งที่มีความน่าสนใจ ถูกออกแบบมาให้เห็นกลไกการทำงานที่มีแผ่นโลหะกลมอยู่ด้านล่าง และมีเชือกห้อยลูกตุ้มโลหะที่เรียกว่า ลูกตุ้มชนิดบิด (torsion pendulum) ในการแกว่งแต่ละครั้งลูกตุ้มจะบิดและปล่อยพลังงานที่สะสมไว้ ด้วยกลไกนี้ทำให้นาฬิกาเดินได้ถึง 400 วัน และนาฬิกาที่อยู่ในตู้ใกล้ ๆ กันแม้ขนาดไม่ใหญ่โตหรือมีกลไกพิเศษ แต่ด้วยรูปร่างขนาดเล็กเท่าหัวแม่มือและความน่ารักของตัวเรือนที่วางเรียงรายอยู่ในตู้ก็ดึงดูดความสนใจได้ไม่น้อย
ภาพที่ 8 นาฬิกาเซรามิกรูปสัตว์
หลังเวลาผ่านไปพักใหญ่ก็ได้ยินเสียงประกาศเรียกขึ้นเครื่อง ผู้เขียนจำใจต้องละสายตาจากนาฬิการูปสัตว์หลากสีสัน และหันมาดูตัวเลขบอกเวลาบนหน้าจอโทรศัพท์ แม้ห้องจัดแสดงจะไม่ใหญ่แต่การเพ่งพิศนาฬิกานับสิบเรือนก็ทำให้เพลิดเพลินจนรู้สึกอิ่มใจที่ได้ใช้เวลามอง “นาฬิกา” ให้นานขึ้น และตระหนักได้ชัดเจนว่าเมื่อโลกเปลี่ยน ข้าวของเครื่องใช้ก็เปลี่ยนไปตามกัน รูปร่างของนาฬิกาสะท้อนรูปแบบการใช้งาน รวมถึงค่านิยมในสังคมและยุคสมัย อีกทั้ง กลไกของนาฬิกาก็แสดงถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของมนุษย์ นาฬิกาทุกเรือนจึงเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์และเป็นมรดกอันทรงคุณค่าเหนือกาลเวลา