“ปี๋ใหม่เมืองเฮาก็มาถึงแล้วน่อ ดำหัวแม่ป้อป้าลุง อุ้ยเฮาดีกว่า ประเพณีบ่าเก่าของเฮาสืบมา เข้าวัดเข้าวาตักบาตรทำบุญ กำสะหลุงใส่ข้าวตอกดอกไม้ ฮื้อเปิ้นได้ชื่นใจ๋ที่หมู่เฮาฮู้คุณ เทวะบุตรเทวดาเปิ้นมาอุดหนุน อันการทำบุญตึงบ่มีวันปุดตืน ...” แว่วเสียงหวานที่ฟังไม่เคยเบื่อในเพลง “ดำหัวปี๋ใหม่” นี้ก้องกังวานไปทั่วทุกทิศเมื่อย่างเข้าสู่เทศกาล “ปี๋ใหม่เมือง” (ตรงกับช่วงสงกรานต์ของภาคกลาง) และเป็นสัญญาณสู่โสตให้ตื่นตัวว่ามีกิจธุระให้จัดเตรียมข้าวของทำบุญในวัน “พญาวัน” รวมไปถึงวัน “ปากปี๋ ปากเดือน ปากวัน” ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ทุกคนต่างร่วมมือร่วมใจกันทำความสะอาดห้องหอบ้านเรือน เพื่อชำระกาลกิณี เสนียด จัญไรทางกายและใจ
ยิ่งไปกว่านั้นยังมีสิ่งที่ทุกบ้านต่างแสวงหากัน คือ “ปั๊กกะตืนปี๋ใหม่เมือง” หรือปฏิทินปีใหม่ทางภาคเหนือที่ให้ข้อมูลเพื่อวางแผนตระเตรียมทำกิจธุระต่าง ๆ ไว้ให้พร้อม เช่น การเตรียมข้าวของเพื่อไป (รดน้ำ) ดำหัวญาติผู้ใหญ่ ทั้งพ่อแม่ ลุงป้า อุ้ย (ปู่ย่าตายาย ผู้เฒ่าผู้แก่) การเตรียมตัวไปวัดที่มีข้าวของหลายอย่าง ทั้งของตักบาตร ข้าวตอกดอกไม้ ของที่เตรียมสำหรับใส่ไปในสลุง(ภาชนะคล้ายขัน มีขนาดเล็กใหญ่ ลวดลายตามความนิยม) เพื่อแสดงถึงความกตัญญูกตเวทิตาที่สืบทอดประเพณีกันมาแต่โบราณ ดังคำร้องในเพลงที่กล่าวว่าการกระทำตนเช่นนี้เป็นบุญเป็นกุศลอันเทพเทวดาให้การหนุนนำให้รุ่งเรืองยิ่ง ๆ ขึ้น (บ่มีวันปุดตืน = ไม่มีวันขาดทุน)
ภาพที่ 1 : ปั๊กกะตืนปี๋ใหม่พื้นเมืองปีมะโรง ฉบับร้านประเทืองวิทยา เชียงใหม่ มีขายทั่วไปในช่วง
“ปี๋ใหม่เมือง” ราคา 10 บาท เพื่อให้ทุกบ้านมีข้อมูลในการเตรียมตัวเข้าสู่ปีใหม่ เริ่มต้นสิ่งใหม่ ๆ
ตามจังหวะเวลาอันดีงาม (บ้านของผู้เขียนมีก็ไว้ครอบครอง และถูกใช้บ่อยจนมีรอยยับเยินดังภาพ)
การนับปีในปั๊กกะตืนปี๋ใหม่เมืองนับว่ามีความพิเศษอย่างยิ่ง ด้วยเป็นการนับปีอย่างโบราณที่เรียกว่า “ปีหนไทย” ที่นับวนเป็นรอบๆ ละ 60 ปี โดยเรียกชื่อศก (เลขลงท้าย 0-9) แล้วตามด้วยปีนักษัตร (12 ตัว) ลักษณะคล้ายกับวิธีการนับปฏิทินของจีนทั้งในรูปแบบโครงสร้าง เนื้อหา จนมีผู้สันนิษฐานว่า ปีหนไทยอาจต้องอ่านใหม่เป็น “ปีฮั่น-ไทย” ทั้งยังเป็นสิ่งยืนยันว่าผู้คนที่พูดภาษาตะกูลไทได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมจีน ซึ่งเป็นชาติที่ยิ่งใหญ่มาตั้งแต่โบราณจนคลี่คลาย ตกทอด แปรเปลี่ยนมาเป็นวิธีการของตนเอง แม้ว่าการนับปฏิทินเช่นนี้ไม่ปรากฏทั่วไปในสังคมไทยแล้ว แต่การรับรู้ของ “คนเมือง” ยังคุ้นชินกับการนับปีโบราณนี้ผ่านปั๊กกะตืนปี๋ใหม่
ปั๊กกะตืนปี๋ใหม่เมืองมักมีขายทั่วไปในกาด (ตลาด) ลักษณะเป็นกระดาษม้วนขนาดพกพาได้ ในหน้าแรกส่วนบนสุดเป็นรูปวาดนางสงกรานต์พร้อมกับเศียรของพระบิดา (ท้าวกบิลพรหม) ตามตำนานกำเนิดวันสงกรานต์ ถัดมาเป็นรวิสังขานต์ (ปู่สังขาร ย่าสังขาร-ปู่สังกรานต์หรือย่าสังกรานต์) ขนาบด้วยยันต์แม่โพสพและยันต์นางกวัก ส่วนที่สำคัญที่สุดเป็น “เวลาชีวิตสำหรับการเริ่มต้นใหม่” ซึ่งเริ่มที่ข้อมูลปีปฏิทินปัจจุบัน เช่น “ปีกาบสี” ปีสี คือ ปีมะโรง กาบ คือ ฉศก หรือ ศักราชที่ลงท้ายด้วยเลข 6 จุลศักราช 1386 มีวันสำคัญ 3 วันดังนี้
1) วันสังขารล่อง หมายถึง วันเปลี่ยนผ่านจากปีเก่าสู่ปีใหม่ หรือวันที่สังขารร่างกายแก่ไปอีกปี เช่นปีพ.ศ. 2567 ตรงกับวันที่ 13 เมษายน เวลา 22 นาฬิกา 17 นาที 24 วินาที โดยปฏิทินกล่าวว่า
“ระวิสังขานต์แต่งองค์ทรงเครื่องสีเขียว เครื่องประดับมรกต หัตถ์ขวาบนถือหอก หัตถ์ขวาล่างถือลูกศร หัตถ์ซ้ายบนถือธนู หัตถ์ซ้ายร่างถือดาบ นอนตะแคงมาบนหลังแรด รุกไปทางหรดี (มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้-ผู้เขียน) มีนางยามายืนรอรับ” ตามความเชื่อในวันสังขารล่อง เวลาเช้าตรู่ชาวบ้านจะยิงปืนหรือจุดปะทัดเพื่อเป็นการปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายออกไป เชื่อว่าเป็นการขับไล่ปู่สังกรานต์หรือย่าสังกรานต์ที่จะนำสิ่งชั่วร้ายมาด้วย ในวันนี้ต้องนำพระพุทธรูปมาชำระและสรงน้ำโดยใช้น้ำขมิ้นส้มป่อย และทำความสะอาดบ้านเรือน วันนี้ทุกคนมักตื่นเช้ามาก ทำกับข้าว ปัดกวาดเช็ดถู ซักผ้า บางทีกว่าจะเสร็จก็ล่วงเลยจนถึงเที่ยงวัน บ่ายโมง
2) วันเนาว์ หรือวันเน่า ปีพ.ศ. 2567 มีวันเน่าสองวันตรงกับวันที่ 14-15 เมษายน ในปฏิทินกล่าวว่า “ทั้งสองวันนี้บ่ดี (ไม่ควร) กล่าวผรุสวาจาอาฆาตมาดร้ายแก่ใครจะเป็นผลร้ายต่อชีวิตตนเอง มีโอกาสหื้อ (ให้) ตักทรายเข้าวัดใช้หนี้ธรณีสงฆ์ ถวายตุงถวายไม้ค้ำเป็นพุทธบูชา” ในวันนี้จึงเป็นวันที่ต้องสำรวมกายใจ ตระเตรียมข้าวของไปทำบุญ เช่น การทำขนมจ๊อก (ขนมเทียน) ไส้หวานไส้เค็มแล้วแต่ชอบ รวมทั้งอาหาร ผลไม้และอื่น ๆ มักเป็นสิ่งที่ผู้ล่วงลับเคยชอบเพื่อทำบุญอุทิศส่วนกุศลแก่ญาติผู้ล่วงลับในช่วงเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น (วันพญาวัน) อีกทั้งต้องเตรียม “ตุง” (ธงมงคล) ไปปักเจดีย์ทรายเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา รวมถึงไม้ค้ำ หรือไม้ง่ามทั้งใหญ่-เล็ก (ขนาดใหญ่นำไปค้ำไว้กับต้นไม้ใหญ่ ส่วนขนาดเล็กจัดเตรียมขนาดต่างๆ ตามจำนวนคนในครอบครัว คนละ 1 กิ่ง โดยวัดให้ไม้มีขนาดเท่ากับความยาวจากปลายนิ้วมือถึงข้อศอกของแต่ละคน เพื่อนำไปค้ำในพิธีสืบชะตา (การทำบุญต่ออายุ) ในวันพญาวัน จากนั้นในช่วงเย็นชาวบ้านจะช่วยกันก่อเจดีย์ทรายและจัดเตรียมสถานที่ให้พร้อมกับการทำบุญ
ภาพที่ 2 : ชาวบ้านช่วยกันสร้างเสวียนเพื่อล้อมทำเป็นเจดีย์ทราย สำหรับนำตุงมาปักถวายเป็นพุทธบูชา
และสร้างรางสรงน้ำพระ สิ่งที่ขาดเสียไม่ได้เป็นการละเล่นสาดน้ำเพื่อบรรเทาความร้อนจากสภาพ
อากาศร้อนจัดในเดือนเมษายน
แหล่งที่มาภาพ: เฟซบุ๊กวัดสุวรรณาราม ฮ่องแฮ่หลวง (วัดในหมู่บ้านผู้เขียน)
https://www.facebook.com/profile.php?id=100064392621179&sk=photos&locale=ms_MY
3) วันพญาวัน (ปีพ.ศ.2567) ตรงกับวันที่ 16 เมษายน เวลา 02 นาฬิกา 15 นาที 00 วินาที เป็นวันเถลิงศกใหม่ ในปฏิทินกล่าวว่า “หื้อตานขันข้าว (ให้ทำบุญทำทานข้าวปลาอาหาร) อุทิศส่วนกุศลแก่ดวงวิญญาณบรรพบุรุษที่ล่วงลับ จากนั้นดาคัว (เตรียมข้าวของ) ไปดำหัวผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือสืบทอดขนบธรรมเนียมที่ดีต่อไป” ดังนั้นข้าวของที่ตระเตีรยมไว้ตั้งแต่วันสังขารล่องเป็นเตรียมบ้านเรือนให้สะอาด วันเน่า เป็นการเตรียมร่างกาย วาจา ใจ ทั้งสิ่งของทำบุญ (ขนม อาหาร ตุง ของรดน้ำดำหัว) จะนำมาใช้ในวันนี้ อย่างไรก็ตาม กรณีที่ในปีนั้นๆ มีวันเน่า 2 วัน ทางวัดก็จะจัดแบ่งกิจกรรมเป็นการทำบุญในวันที่ 15 และจัดพิธีสืบชะตาในวันที่ 16 อย่างไรก็ตาม การรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่มักขึ้นอยู่กับความสะดวกของแต่ละครอบครัว บางบ้านอาจทำในวันที่ 15 หลังจากทำบุญที่วัดเสร็จ หรือบางบ้านอาจถือฤกษ์รอให้เสร็จจากพิธีสืบชะตาในวันที่ 16
การรดนำดำหัวเป็นประเพณีที่มีรายละเอียดยิบย่อยมาก ผู้เขียนขอเขียนอธิบายเฉพาะส่วนสำคัญของพิธีการ คือ การหันหน้าไปยังทิศทางที่ถูกต้อง โดยคำว่า “ดำหัว” ในที่นี้อาจแปลได้ 2 ความหมาย คือ 1) การไปรดน้ำดำหัวญาติผู้ใหญ่ดังความเข้าใจทั่ว ๆ ไป และ 2) การอาบน้ำสระผม ทั้งนี้ ในปฏิทินระบุว่า “ปีนี้สังขารล่องวันเสาร์ ศรีอยู่ที่หน้าแข้ง กาลกิณีและจัญไรอยู่ที่กระหม่อม เวลาดำหัวเบ่นหน้า (ให้หันหน้า) ไปหาทิศหรดีหรือทิศตะวันตกเฉียงใต้ เตรียมนำขมิ้นส้มป่อยเหน็บดอกแก้ว (ดอกไม้ประจำปี) แล้วกล่าวคาถาจากนั้นนำน้ำขมิ้นส้มป่อยเช็ดจัญไรเช็ดกาลกิณีที่กระหม่อมทิ้งขว้างออกไป ทิ้งสิ่งอัปมงคลเสร็จสิ้น ทำบุญทำกุศลเป็นสิริมงคลรับปีกาบสี
ตลอดไป” และการอาบน้ำก็ต้องหันหน้าไปตามทิศทางที่ปฏิทินระบุไว้
หากลูกหลานคนใดเผลอลืมบอกให้พ่ออุ้ย แม่อุ้ย (ปู่ย่าตายาย) อาบน้ำหันหน้าไปทางทิศใดก็อาจโดนโกรธเคืองได้ ต้องไปหยิบปั๊กกะตืนปี๋ใหม่เมืองมาอ่านให้ฟังอยู่บ่อยครั้งเพราะคนแก่มักหลงลืมง่าย
ภาพที่ 3 : พิธีสืบชะตา (ต่ออายุ) ของชาวบ้านฮ่องแฮ่หลวง วัดจะเชิญเจ้าคณะตำบล เจ้าอาวาสจากวัดอื่น ๆ
มาร่วมกันสวดต่ออายุให้เกิดสิริมงคล หลังเสร็จพิธีสืบชะตาชาวบ้านได้รดน้ำดำรงพระสงฆ์
และพ่ออุ้ย แม่อุ้ยที่มีอายุในหมู่บ้านเพื่อรับพรให้เกิดมงคลแก่ชีวิต
แหล่งที่มาภาพ: เฟซบุ๊กวัดสุวรรณาราม ฮ่องแฮ่หลวง
https://www.facebook.com/profile.php?id=100064392621179&sk=photos&locale=ms_MY
นอกจากนี้ ปั๊กกะตืนปี๋ใหม่เมืองยังมีข้อมูลอื่นที่เป็นรายละเอียดอีกมาก เช่น คำทำนายจากดอกไม้ที่เหน็บหู พาหนะของนางสงกรานต์ รูปนาคทำนายเรื่องน้ำที่ใช้ในการเกษตรว่าสมบูรณ์เพียงพอหรือไม่ เพื่อให้ชาวไร่ชาวนาได้เตรียมตัวรับมือ รวมไปถึงการดูฤกษ์วัน เดือน ปี คำทำนายโชคชะตา ตำราแผนโบราณพื้นเมือง
คำปั๋นปอนปีใหม่ (คำอวยพร) คำเวนตานปีใหม่เมืองและเจดีย์ทราย (คำถวายทาน) ยามอุบากอง ตำราไก่แก้ว ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นภูมิปัญญาของชาวล้านนาที่ทรงคุณค่าและสืบทอดต่อกันมาหลายชั่วอายุคน
ภาพที่ 4 : ข้าวของดำหัวในยุค PM2.5 ที่ขาดไม่ได้ในพิธีดำหัว คือ น้ำส้มป่อย
(เฉพาะผู้เขียนขอเรียกแค่น้ำส้มป่อยเนื่องจากไม่ได้ใส่ขมิ้นลงไปผสมด้วย) ทำจากฝักส้มป่อยแห้งนำไป
เผาไฟให้มีกลิ่นหอม หักเป็นท่อนๆ ใส่ลงในน้ำสะอาดที่เตรียมไว้ ใส่ดอกคำฝอยแห้งและดอกไม้ที่ให้
กลิ่นหอม เช่น ดอกมะลิ ดอกเก็ดตะหวา (ดอกพุดซ้อน)
หากมองแบบผิวเผิน “ปั๊กกะตืนปี๋ใหม่เมือง” อาจเป็นเพียงแผ่นกระดาษที่ดูคุ้นเคยชินตาและเห็นปีละครั้งเป็นประจำทุกปี ทว่าปฏิทินนี้นับเป็นเอกสารเผยแพร่องค์ความรู้และภูมิปัญญาของคนสมัยโบราณ ทั้งการให้เก็บกวาดบ้านเรือนให้สะอาด ไม่เก็บสะสมสิ่งเก่าเก็บที่ไม่มีประโยชน์ รวมถึงการชำระล้างจิตใจก็ล้วนแต่แฝงไว้ด้วยแง่คิดในการใช้ชีวิตที่เรียบง่าย ด้วยการกระตุ้นเตือนให้ผู้คนปล่อยวาง ไม่ยึดติดกับอดีตที่ล่วงเลยผ่าน เตรียมตนให้พร้อมกับการเริ่มต้นใหม่ สร้างกำลังใจและปรับมุมมองใหม่ให้มีชีวิตที่ดีขึ้น เนื่องด้วยความเป็นมนุษย์ปุถุชน ไม่ใช่ทุกคนที่ตัดใจจากอะไรได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นความสุข ความทุกข์ ความสมหวัง ผิดหวัง
นอกจากนี้ คำทำนายและการดูฤกษ์นาทีก็ไม่ใช่เรื่องงมงายเสียทีเดียว แม้ไม่อาจพิสูจน์ความแม่นยำได้ด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ใด แต่การเลือกและตัดสินใจทำตามคนโบราณก็เพื่อช่วยสร้างความสบายใจ ลดความเครียดไปได้อย่างหนึ่ง
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
วิไลวรรณ ขนิษฐานันท์. (2552,กรกฎาคม-ธันวาคม). ปฏิทินจีนโบราณ: ที่มาของปฏิทินไทยโบราณ "ปีหนไทย". ภาษาและภาษาศาสตร์. 28(1): 34–52.
วิไลวรรณ ขนิษฐานันท์. (2552,กรกฎาคม-ธันวาคม). ดูองค์ประกอบ โครงสร้าง และการเทียบเคียงกับปฏิทินจีน ใน ปฏิทินจีนโบราณ: ที่มาของปฏิทินไทยโบราณ "ปีหนไทย". ภาษาและภาษาศาสตร์. 28(1): 34–52.
หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม. ตำนาน กำเนิดวันสงกรานต์ (บทความออนไลน์) สืบค้นจาก https://www.finearts.go.th/nakhonphanomlibrary/view/12438-%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C