ยามเย็นแดดเริ่มอ่อนแสง ท้องฟ้าทาทาบเป็นสีเหลืองระเรื่อกลมกลืนกับแผ่นผิวไม้ของเรือนแถวสองชั้นแห่งตลาดบางมูลนากที่ทอดตัวยาวไป ไม่นานท้องฟ้ายามสายัณห์ก็เปลี่ยนเป็นราตรี แว่วเสียงของกังสดาลดังเป๊ง เป๊ง...ตามจังหวะการตีของคุณลุงผู้มีจักรยานคู่ใจ กำลังส่งสัญญาณบอกเวลาสองทุ่มไปตลอดเส้นถนนของตลาดบางมูลนาก ทำให้ที่นี่ดูน่าสนใจตั้งแต่ค่ำคืนแรกที่ได้มาเยือน
เสียงหวูดรถไฟดังลั่นเมื่อใกล้ถึงสถานีบางมูลนาก จังหวัดพิจิตร สรรพชีวิตต่างดำเนินวิถีตามที่ตนสวมบทบาท ผู้มาเยือนออกเดินเที่ยวชมตลาดเช้าบางมูลนากที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่กำลังหาอาหารเพื่อเติมพลังงานให้กับร่างกายในยามเช้า มีทั้งแผงขายผักปลาและขนมนมเนยที่วางบนกระจาดสานใบใหญ่วางเรียงรายยาวไปจนถึงริมแม่น้ำน่าน เมื่อเหลียวไปมองด้านขวาเห็นอาคารบ้านไม้สองชั้นตั้งขนานและหันหน้าเข้าหาริมน้ำน่าน มีป้ายพื้นไม้สีน้ำตาล เขียนข้อความด้วยตัวอักษรบรรจงสีขาว ข้อความว่า “บางมูลนาก” ขนาบด้วยรูปตุ๊กตาตัวนากน่ารัก และที่นี่เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ชาวบางมูลนาก สถานที่ให้ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับท้องถิ่นแห่งนี้
ภาพที่ 1 ด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ชาวบางมูลนาก และผู้ริเริ่มก่อตั้ง (2 คนทางขวา - พี่อภิสิทธิ์ และพี่เขต)
พิพิธภัณฑ์ชาวบางมูลนาก ก่อร่างสร้างขึ้นด้วยแรงกำลังของอดีตเด็กบางมูลนาก อย่าง “พี่เขต” (เขต เส็งพานิช) และ “พี่อภิสิทธิ์” (อภิสิทธิ์ ประวัติเมือง) ผู้ที่ไปเติบโตในเมืองใหญ่หลายแห่งแล้วก็ประหวัดถึงบ้านเกิด หลังจากมีผู้เริ่มก็มีผู้ร่วมด้วย ชาวบ้านแต่ละเรือนต่างพร้อมใจกันนำสิ่งของเครื่องใช้ที่เป็นตัวแทนความรักความผูกพันถึงบุคคลอันเป็นที่รัก หรือภาพอดีตชีวิตที่ผ่านมา มาร่วมจัดแสดงไว้ที่พิพิธภัณฑ์ สถานที่แห่งนี้จึงเป็นพื้นที่ร่วมกันของคนบางมูลนากทุกคนอย่างไม่มีข้อแม้
ถุงกระดาษที่พิมพ์ชื่อร้านรวงต่าง ๆ ถูกนำมาใส่กรอบแขวนประดับไว้ที่ฝาบ้านเพื่อให้ย้อนรำลึกนึกถึงร้านค้านานาภัณฑ์ที่ใครหลายคนอาจเคยเป็นลูกค้าหาซื้อสิ่งของจำเป็นที่ต้องการในกาลก่อน อาทิ ร้าน “เจริญอาภรณ์” ร้านที่บริการตัดเสื้อ-กางเกงชั้นนำ “เลิศศิลป์” ร้านที่นำหน้าในเรื่องการดีไซน์ สุดยอดแห่งแฟชั่นและตัดเย็บโดยช่างชั้นนำ “กิตติชัย” ร้านขายอุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิด ตั้งแต่หลอดไฟ พัดลม เตารีด โคมไฟ หม้อหุงต้ม และกระทะไฟฟ้า เป็นต้น “สิริภัณฑ์พานิช” ร้านจำหน่ายหนังสือพิมพ์ รายปักษ์ รายสัปดาห์ทุกฉบับ พร้อมทั้งเครื่องสำอางนานาชนิด “เล้าซ่งง้วน” ร้านจำหน่ายสรรพสินค้านานาชนิดจากทั่วโลก ทั้งเสื้อเชิ้ต เสื้อฮาวาย กระติกน้ำแข็ง-น้ำร้อน ตลอดจนของขวัญในงานพิธีต่าง ๆ
ภาพที่ 2 ถุงกระดาษที่พิมพ์ชื่อร้านค้าต่างๆ ในตลาดบางมูลนากเมื่อครั้งอดีต
พัดลม ยี่ห้อซิงเกอร์รุ่นเก๋าที่มีเอกลักษณ์เป็นใบพัดสีฟ้ากับตะแกรงครอบเหล็ก และทนทานเสียยิ่งกว่าอะไร ชวนให้ใครหลายคนย้อนนึกถึงลมเย็นที่เคยใช้ร่วมกันในครอบครัวที่แสนอบอุ่น พัดลมบางตัวอาจเชื่อมโยงกับชีวิตของคนหลายรุ่น ตั้งแต่รุ่นทวดมาถึงเหลนด้วยพัดลมเก่าแก่ตัวนี้ที่ใช้พัดวีลมชื่นเย็นมาด้วยกันในบ้านหลังน้อย
ถังไม้ตวงข้าว ทำจากไม้เนื้อแข็งใบโตที่เคยเป็นอุปกรณ์ชั่งตวงปริมาณ ซึ่งปัจจุบันแทบไม่ได้ยินชื่อนี้ หรือแม้เคยได้ยินชื่อก็อาจจินตภาพไม่ออกแล้วว่าข้าวสารหนึ่งถังหนักแค่ไหน แต่หากบอกว่าซื้อข้าวสาร 15 กิโลกรัมจะนึกเห็นเป็นภาพได้ง่ายกว่า ถังตวงข้าวใบนี้เคยผ่านการใช้งานตวงข้าวในโรงสีขายแล้วนับปีไม่ถ้วน หลังจากโรงสีปลดระวางแล้วถังตวงข้าวก็ถูกเกษียณจากหน้าที่เดิม ย้ายมาอยู่บนชั้นสองของพิพิธภัณฑ์รับหน้าที่ใหม่ในการเล่าอดีตการค้ายุคก่อน
ขันโค้ก เป็นขันใบเล็กทำจากอะลูมิเนียมที่เกือบทุกบ้านมักมีติดครัวเรือนไว้ใช้แทนแก้วน้ำดื่ม ในสมัยก่อนโรงงานทำน้ำแข็งจะทำน้ำแข็งเป็นก้อนลูกบาสก์ขนาดใหญ่แล้วตัดทอนแบ่งเป็นก้อนๆ สี่เหลี่ยมขนาดเล็กลงเพื่อแบ่งขาย เมื่อชาวบ้านซื้อน้ำแข็งมาก็นิยมทุบก้อนน้ำแข็งให้แตกเป็นชิ้น เป็นเกล็ดเล็กๆ ใส่ลงในภาชนะอย่างขัน แล้วรินน้ำสะอาด น้ำหวาน หรือน้ำอัดลมลงไป เพียงเท่านี้ก็เพิ่มความสดชื่นยิ่งขึ้นกว่าดื่มน้ำจากภาชนะอื่น
ตะเกียงเจ้าพายุ ตั้งอยู่บนชั้นวางข้างฝาบ้านชั้นบนข้างพัดลมซิงเกอร์ หากในอดีตใครที่เคยตกอยู่ในภวังค์แห่งความมืด ไฟฟ้าดับ ลมฝนกรรโชกแรง ย่อมรู้ซึ้งในคุณค่าของแสงสว่างจากตะเกียงเจ้าพายุกันแทบทุกคน ขอเพียงแค่มีสิ่งนี้ก็ทำให้ทุกคนสามารถก้าวผ่านความกลัวไปได้ไม่ยากเลย
ภาพถ่ายบุคคล ที่ตั้งอยู่ในตู้เป็นตัวแทนสัญลักษณ์ความสามัคคีของชาวบางมูลนากได้เป็นอย่างดี และนอกจากเป็นภาพที่สะท้อนความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของชุมชนชาวไทย-จีนที่สนิทสนมกลมเกลียวกันแล้วยังช่วยให้ใครบางคนทบทวนความทรงจำในอดีตเมื่อหลายสิบปีก่อน เช่น บางคนพบว่าในรูปถ่ายมีรูปบรรพบุรุษของตนเองอยู่ด้วย หรือภาพของคนที่เคยรู้จักอย่างปู่คนนี้เคยนั่งขายเครื่องเขียนให้ อาม่าคนนี้เคยขายขนมอยู่หัวมุมตลาด และอาคนนี้เคยขายราดหน้ารสเลิศอยู่ริมน้ำน่านที่เด็กทุกคนเคยผ่านการทักทายในทุกวัน เป็นต้น
สิ่งต่างๆ ที่จัดแสดงไว้ในพิพิธภัณฑ์ ทั้งภาพถ่ายและข้าวของเครื่องใช้ต่างมีนัยที่ชวนให้ชาวบางมูลนากนึกย้อนถึงอดีตที่พื้นที่แห่งนี้มีความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะตลาดที่เป็นหัวใจสำคัญ ทั้งยังชวนให้ผู้มาเยี่ยมเยือนได้ร่วมรู้สึกถึงความสุข ความทรงจำ วิถีชีวิตของชาวตลาดบางมูลนากแห่งนี้
ท่ามกลางความเติบโตของเมืองและการคืบคลานของระบบทุนนิยมเชิงเดี่ยว สถานที่แห่งนี้ยังคง
อัตลักษณ์ที่เรียบง่าย สงบ งดงามและเชื่อมความรุ่งเรืองในอดีตปะติดปะต่อกับชีวิตในปัจจุบันผ่านเรื่องเล่าในพิพิธภัณฑ์ชาวบางมูลนาก พื้นที่แห่งการเรียนรู้ชุมชนที่กำลังส่งต่อเรื่องราวชีวิตที่ผ่านร้อนผ่านหนาวของชาวบางมูลนาก ผู้เขียนได้ยินเสียงเด็กนักเรียนตัวน้อยส่งเสียงชี้ชวนกันดูข้าวของเครื่องใช้ในตู้ บนโต๊ะ รูปภาพบนผนังอย่างสนอกสนใจ “บ้านหนูมี-ผมเคยเห็น-ครูเคยใช้” เป็นเสียงแชร์ประสบการณ์ร่วมกันของเหล่าลูกหลานยุคใหม่ ยิ่งทำให้รู้สึกได้ว่าพิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีชีวิตและจิตวิญญาณของบางมูลนากที่สามารถเล่าขานต่อไปจากรุ่นสู่รุ่น เรียกได้ว่าเป็นพิพิธภัณฑ์มีชีวิตอย่างแท้จริง
ภาพที่ 3 ภาพเขียนบนฝาผนังบานเฟี้ยมไม้ หรือมักเรียกตามสมัยปัจจุบันว่า สตรีทอาร์ต