Museum Core
‘น้ำเพชร’ ที่วัดท่าไชยศิริ จ. เพชรบุรี ทำไมจึงเป็น ‘น้ำศักดิ์สิทธิ์’?
Museum Core
25 มี.ค. 68 154

ผู้เขียน : ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ

               มีเรื่องเล่าต่อกันมาว่า รัชกาลที่ 5 ทรงโปรดเสวยน้ำจาก ‘แม่น้ำเพชรบุรี’ มากยิ่งกว่าน้ำจากแหล่งน้ำอื่นๆ ดังนั้นจึงต้องมีการขน ‘น้ำเพชร’ จากเมืองเพชรบุรีเข้ามาในพระบรมมหาราชวังที่กรุงเทพฯ​ เป็นประจำทุกเดือน ดังปรากฏมีหลักฐานอยู่ใน ‘พระราชหัตถเลขาในรัชกาลที่ 6 ถึงเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ลงวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2465’ โดยมีใจความปรากฏว่า

               “เรื่องน้ำเพชรบุรีนี้ เคยทราบมาแต่ว่าถือกันว่าเป็นน้ำดีเคยได้ยินพระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 5 รับสั่งว่า นิยมกันว่ามีรสแปลกกว่าลำน้ำเจ้าพระยา และท่านรับสั่งว่าพระองค์เองเคยเสวยน้ำเพชรบุรีเสียจนเคยแล้วเสวยน้ำอื่นๆ ไม่อร่อย จึงต้องส่งน้ำเสวยมาจากเพชรบุรี และนำน้ำนั้นใช้เป็นน้ำเสวยจริงๆ ตลอดมากาลปัจจุบัน”

               แต่ ‘น้ำเพชร’ ที่ว่านี้ไม่ใช่ว่าตักเอาจากตรงไหนก็ได้ หากต้องเป็นน้ำที่ตักจาก ‘ท่าน้ำ’ ที่หน้า ‘วัดท่าไชยศิริ’ ซึ่งตั้งอยู่ที่บ้านสิงขร ต. สมอพลือ อ. บ้านลาด จ. เพชรบุรี เท่านั้น ดังปรากฏหลักฐานใน ‘ใบบอกเมืองเพชรบุรี’ ของของพระยาสุรินทรฤาไชย ที่เขียนขึ้นเมื่อราว พ.ศ.​2420 ว่า

               “ด้วยมีตราพระคชสีห์ โปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ข้าพเจ้าแต่งกรมการกำกับกันคุมไพร่ไปตักน้ำหน้าวัดถ้าไช (วัดท่าไชยศิริ) ส่งเข้ามาเป็นน้ำสง (สรง) น้ำเสวย เดือนละสองครั้งๆ ละยี่สิบตุ่มเสมอ จงทุกเดือนนั้น
ข้าพระพุทธเจ้าได้ทราบในท้องตราซึ่งโปรดออกไปทุกประการแล้ว ข้าพระพุทธเจ้าได้แต่งให้ขุนลครประการคุมไพร่ไปตักน้ำหน้าวัดถ้าไชยี่สิบตุ่ม ได้เอาผ้าขาวหุ้มปากตุ่มประทับตรารูปกระต่ายประจำครั่งมอบให้ขุนลครประการคุมมาส่งด้วยแล้ว” (ผู้เขียนคัดลอกอักขรวิธีตามต้นฉบับ)

               กล่าวกันว่า ‘น้ำ’ จากท่าที่วัดไชยศิรินี้ใสสะอาดเป็นอย่างมาก ตั้งแต่โบราณถ้ากษัตริย์พระองค์ใดเสด็จไปประทับที่เมืองเพชรบุรีก็ใช้น้ำจากท่าน้ำแห่งนี้สำหรับเสวย อีกทั้งน้ำที่ตักมาจากท่าแห่งนี้ยังถือเป็น ‘น้ำศักดิ์สิทธิ์’ อีกด้วย ดังเห็นได้ว่า น้ำถูกใช้ในพระราชพิธีต่างๆ เช่น พระราชพิธีถือน้ำพระพัทธ์สัตยา (เพี้ยนเป็น พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ในภายหลัง) หรือพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ดังความในพระราชหัตถเลขาของรัชกาลที่ 5 เมื่อเสด็จประพาสมณฑลราชบุรีเมื่อ พ.ศ. 2452 ดังความว่า

               ชื่อตำบลที่เรียกว่าท่าๆ นั้น คือเป็นท่าสำหรับผักของไร่ เช่น ฟักเหลือง ฟักเขียว เป็นต้น ลงเรือลำโตๆ เพราะที่สองข้างแม่น้ำนั้นเป็นไร่ตลอดไป ทางที่ขึ้นไปนี้เกินท่าชัยซึ่งเป็นที่ตักน้ำเสวยขึ้นไปเป็นอันมาก มีข้อหนึ่งซึ่งลี้ลับอยู่ คือน้ำราชาภิเษกนั้นไม่ใช่ใช้แต่น้ำ 4 สระ ใช้แม่น้ำทั้ง 5 ในกรุงสยาม คือ แม่น้ำบางประกง แม่น้ำศักดิ์ (ป่าสัก) แม่น้ำท่าจีน แม่น้ำกลอง และแม่น้ำเพชรบุรี มีชื่อตำบลที่ตักทุกเมือง แต่ที่เพชรบุรีนี้ที่ท่าชัย"

               ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรที่มีการแต่งตั้งเจ้าพนักงานดูแลความสะอาดของน้ำที่ท่าน้ำแห่งนี้ 1 คน โดยปลูกศาลาไว้ให้สำหรับใช้ทำการ 1 หลัง และเพิ่งยกเลิกไปในสมัยรัชกาลที่ 7

               อย่างไรก็ดี เหตุที่เชื่อถือกันว่า ‘น้ำ’ จากท่าแห่งนี้มีความศักดิ์สิทธิ์อาจเป็นเพราะไหลผ่านบ้านพราหมณ์ผู้มีเทพมนตร์ จึงเชื่อกันว่าศักดิ์สิทธิ์กว่าที่อื่น ไม่ใช่ด้วยเหตุผลว่าเป็นลำน้ำที่ไหลผ่านหน้าวัดในพระพุทธศาสนาเพียงอย่างเดียว เนื่องจากเป็นที่รู้กันไปทั่วว่า ‘บ้านสมอพลือ’ อันเป็นที่ตั้งของท่าน้ำวัดท่าไชยศิริเป็นชุมชนพราหมณ์มาแต่โบราณ

               นอกจากนี้มีผู้รู้หลายท่านยังได้ลงมติตรงกันว่าตระกูลพราหมณ์สมอพลือในยุคสมัยอยุธยา มีธิดา 2 คน โดยคนหนึ่งเป็นมเหสีของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ซึ่งมีโอรสเป็นเจ้าฟ้ากุ้ง เจ้าฟ้าเอกทัศน์ และเจ้าฟ้าอุทุมพร ฯลฯ รวมไปถึงยังมีความเป็นไปได้มากว่ายังเป็นบ้านต้นตระกูลของกวีเอกอย่าง “สุนทรภู่” ในยุครัตนโกสินทร์ ดังที่เขียนอ้างไว้ในนิราศเมืองเพชรว่าต้นตระกูลเป็น ‘พราหมณ์รามราช’ เมืองเพชรบุรี

 

ภาพที่ 1: ท่าน้ำริมแม่น้ำเพชร ที่วัดท่าไชยศิริในปัจจุบัน

แหล่งที่มาภาพจาก: https://horoscope.trueid.net/detail/exXnmn7O61bo

 

 

 

ภาพที่ 2: น้ำเพชร ที่หน้าวัดท่าไชยศิริ

แหล่งที่มาภาพจาก: https://horoscope.trueid.net/detail/exXnmn7O61bo

 

               นอกเหนือจากวัดท่าไชยศิริ ละแวกบ้านพราหมณ์สมอพลือยังมีวัดด้วย โดยวัดที่ผู้เขียนอยากเอ่ยถึงเป็นการเฉพาะในที่นี้ คือ ‘วัดกลาง’ ซึ่งมีเจดีย์เก่าอยู่สององค์ที่สามารถใช้ในการกำหนดอายุชุมชนพราหมณ์ที่บ้านสมอพลือแห่งนี้ได้

               องค์เจดีย์ทั้งสอง ก่ออิฐถือปูน มีฐานบัวในผังรูปแปดเหลี่ยมสองชั้นรองรับชุดมาลัยเถา เหนือขึ้นไปเป็นบัวปากระฆังที่รองรับองค์ระฆังทรงลังกาที่มีลักษณะพิเศษคือส่วนฐานสอบเข้าอยู่อีกทอดหนึ่ง ถัดขึ้นไปเป็นบัลลังก์รูปทรงแปดเหลี่ยม รองรับปล้องไฉนที่เป็นส่วนยอดสุด และที่ฐานของปล้องไฉนยังมีลายปูนปั้นรูปกลีบบัวหงายรองรับอยู่ด้วย

               รูปทรงเจดีย์ลักษณะนี้นิยมอยู่ในงานช่างอยุธยาระหว่างช่วงปี พ.ศ. 1900-2000 โดยประมาณ มีหลักฐานสำคัญเป็นเจดีย์ประจำมุมของพระปรางค์ประธาน วัดราชบูรณะ จ.พระนครศรีอยุธยา ตามที่พระราชพงศาวดารระบุไว้ว่าสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1964 ผิดแผกกันก็แต่กลุ่มเจดีย์แปดเหลี่ยมแบบที่พบในอยุธยามักมีฐานบัวในผังแปดเหลี่ยมซ้อนกันสามชั้น แต่เจดีย์ทั้งสององค์นี้สร้างซ้อนกันเพียงสองชั้น และแทนที่ฐานบัวในผังแปดเหลี่ยมชั้นบนสุดด้วยชุดมาลัยเถา ซึ่งก็ถือเป็นลักษณะเฉพาะของเจดีย์ที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมของกรุงศรีอยุธยาในช่วงเวลาดังกล่าวอย่างชัดเจน

               ประเด็นที่น่าสนใจมากเป็นช่วงยุคสมัยของการสร้างเจดีย์ทั้งสององค์นี้ที่มีอายุอยู่ในช่วงเวลาไม่ห่างจากรัชสมัยของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 (พระเชษฐาธิราช) ผู้ขึ้นครองราชย์เมื่อปี พ.ศ. 2015 ด้วยมีการเล่าเรื่องพระกฤษฎาภินิหาริย์ของพระองค์ที่เกี่ยวข้องกับพราหมณ์พบอยู่ในเอกสารของเยเรเมียส ฟาน ฟลีต (Jeremias van Vliet) หรือที่คนไทยมักเรียกกันว่า วันวลิต (พ่อค้าชาวเนเธอร์แลนด์ของบริษัทดัชต์อีสต์อินเดียที่เดินทางเข้ามายังกรุงศรีอยุธยาในสมัยพระเจ้าปราสาททอง) โดยมีเรื่องเล่าย้อนอดีตพอสังเขปดังนี้

               ในห้วงเวลาที่สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ปกครองอยุธยานั้น ยังมีพระเจ้าแผ่นดินอีกองค์หนึ่งประทับอยู่ ณ รามรัฐ ชายฝั่งโจฬะมณฑล (อินเดียใต้) ทรงมีพระนามและตำแหน่งเดียวกับพระรามาธิบดี โดยพระเจ้าแผ่นดินองค์นี้ทรงคิดเสมอว่าพระองค์แต่เพียงผู้เดียวที่สง่างาม มีพระเกียรติยศและปกครองแผ่นดินดีที่สุด เมื่อได้ข่าวว่ามีพระเจ้าแผ่นดินที่อยุธยามีพระนามและตำแหน่งเหมือนกันก็พิโรธ พยายามหาทางสังหารสมเด็จพระรามาธิดีที่ 2 ด้วยนานาวิธีการแต่ก็ไม่สำเร็จ

               ท้ายที่สุดพระเจ้ารามาธิบดีแห่งรามรัฐส่งนายทหาร 4 คน ที่ชำนาญการโกน (หนวด) มาเป็นเครื่องราชบรรณาการแก่สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 นัยว่าเป็นการขอสงบศึก แต่แท้จริงแล้วเป็นกลลวง มุ่งหมายให้ช่างโกนเหล่านั้นลอบตัดพระศอของกษัตริย์แห่งอยุธยา เมื่อถึงคราวกระทำการจริง เหล่าทหารช่างโกนเหล่านั้นกลับสั่นเทาไม่กล้าลงมือ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 จึงทราบเรื่องและส่งคนร้ายทั้งสี่กลับไปยังรามรัฐ พร้อมพระราชสาส์น

               พระเจ้ารามาธิบดีแห่งรามรัฐจึงตัดพระทัยยอมแพ้ และถามทหารช่างโกนว่าในสยามยังไม่มีการละเล่นใด จะส่งไปเป็นพระราชบรรณาการเพื่อเจริญสัมพันธไมตรี และได้คำตอบว่าการละเล่นหรือดนตรีใดๆ ล้วนมีในอยุธยาเว้นแต่ “กระดานโล้ชิงช้า” พระเจ้ารามาธิบดีจึงส่งกระดานโล้ชิงช้า และพราหมณ์ผู้มีความรู้ 2 คนที่สามารถประกอบพิธีโล้ชิงช้าได้มาให้ วันวลิตยังเล่าอีกด้วยว่า พราหมณ์ทั้งสองคนนี้ได้รับการยกย่องเป็นอย่างดีในอยุธยา (แท้จริงแล้ว ประเพณีโล้ชิงช้าไม่ใช่พิธีกรรมของพราหมณ์มาแต่เดิม แต่เป็นพิธีกรรมพื้นเมืองอุษาคเนย์ที่ถูกพราหมณ์ผนวกรวมเข้าไปในช่วงก่อน-ต้นกรุงศรีอยุธยา เรื่องเล่าในวันวลิตเป็นเพียงการอ้างสิทธิธรรมบางอย่าง แต่นี่ไม่ใช่ประเด็นที่ควรกล่าวถึงในที่นี้)

               ย้อนกลับที่เพชรบุรีก็มีเสาชิงช้าอยู่ที่วัดพริบพลี (เปลี่ยนชื่อใหม่เป็นวัดเพชรพลี) ตั้งอยู่ที่ ต. ท่าราบ อ. เมือง จ. เพชรบุรี เช่นเดียวกันกับกรุงเทพฯ นครศรีธรรมราช รวมถึงพระนครศรีอยุธยาเมื่อครั้งรุ่งเรือง ซึ่งพราหมณ์กลุ่มนี้มีความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงถึงกันทั้งหมด ในช่วงดังกล่าวอยุธยาจึงมีการปรับเปลี่ยนและผนวกรวมจักรวาลวิทยาของศาสนาพราหมณ์เข้ามาอยู่ในศาสนาพุทธ

               ด้วยเหตุนี้จึงมีความเป็นไปได้ว่า มีการติดต่อสัมพันธ์กันระหว่างอยุธยาและอินเดียใต้ (รามรัฐ ซึ่งก็คือ รามราช บ้านบรรพชนของสุนทรภู่ ตามที่กล่าวอ้างไว้ในนิราศเมืองเพชร) กันอย่างเข้มข้น จนคติความเชื่อ พิธีกรรม หรือปกรณัมแบบพราหมณ์อินเดียใต้เข้ามาสู่อยุธยา นอกเหนือจากปกรณัมพราหมณ์ที่เดิมนั้นอยุธยารับผ่านเขมร

               อย่างไรก็ดี ปกรณัมและพิธีพราหมณ์เหล่านี้ถูกนำเข้ามาในรูปความศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยเสริมสร้างบารมีให้กับกษัตริย์ หรือความขลังให้กับจักรวาลวิทยาในพุทธศาสนาแบบไทย ดังนั้นปกรณัมพราหมณ์หลายเรื่องจึงถูกนำมาปรับแต่งและผิดเพี้ยนไปจากเรื่องราวดั้งเดิมในชมพูทวีป ความผสานกันของพิธีกรรมแบบพราหมณ์กับพุทธศาสนาอยู่ในบริบทเดียวกันได้อย่างกลมกลืน จึงไม่น่าแปลกใจเมื่อเห็นวัดพุทธอยู่ในชุมชนพราหมณ์ รวมไปถึงเจดีย์อยุธยาทั้งสององค์ที่บ้านพราหมณ์สมอพลือ

               พื้นที่บริเวณนี้จึงกลายเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ด้วยเหตุว่าเป็นย่านตระกูลพราหมณ์ชั้นสูงที่ตั้งรกรากมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ‘น้ำ’ ที่ไหลผ่านพื้นที่บริเวณบ้านสมอพลือที่ ‘ท่าน้ำไชยศิริ’ จึงกลายเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกนำใช้ในการประกอบพระราชพิธีสำคัญต่างๆ ไปโดยปริยาย

 

ภาพที่ 3: พิธีเก็บน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ท่าน้ำวัดท่าไชยศิริ เมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2562 เพื่อใช้ในพิธีตักน้ำ
สรงมูรธาภิเษก ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว

แหล่งที่มาภาพจาก: https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_1440180

 

ภาพที่ 4: เจดีย์งานช่างอยุธยา อายุราว พ.ศ. 1950-2000 ที่วัดกลาง บ้านพราหมณ์สมอพลือ จ.เพชรบุรี เฉพาะเจดีย์องค์เล็กมีร่องรอยการซ่อมแซมสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย

แกลเลอรี่


ย้อนกลับ