Museum Core
แมรี ซอเมอร์วิลล์ ราชินีแห่งวิทยาศาสตร์
Museum Core
04 เม.ย. 68 127

ผู้เขียน : พีริยา จำนงประสาทพร

               ในปี ค.ศ. 1807 ช่วงปลายยุคจอร์เจียนถึงต้นยุควิกตอเรียนในประเทศอังกฤษ  แมรี เกรก (Mary Greig) ลูกสาวทหารเรือตระกูลแฟร์แฟ็กซ์ (Fairfax) สูญเสียสามี ซามูอิล ซามูอิโลวิช เกรก (Samuil Samuilovich Greig)
ผู้เป็นกงสุลรัสเซียประจำกรุงลอนดอนอย่างกะทันหันในขณะที่เธอกำลังอยู่ในช่วงให้นมลูกคนที่สอง คนรอบข้างต่างพากันสงสารที่สุภาพสตรีวัย 27 ต้องประสบโชคร้ายเช่นนี้ ทว่าแมรีกลับรู้สึกโล่งใจ สามีของเธอแม้ว่าจะเป็นญาติห่าง ๆ กัน ไว้ใจได้และมีฐานะดี แต่เขาเชื่อเหมือนคนส่วนใหญ่ในสมัยนั้นว่า ผู้หญิงเป็นเพศที่ไม่มีสติปัญญา อย่างไรก็ไม่สามารถประกอบอาชีพหรือครอบครองทรัพย์สินได้ จึงไม่ควรเรียนหรืออ่านหนังสือให้เสียเวลาเปล่าแทนที่จะดูแลงานบ้านงานเรือน เขาอนุญาตให้แมรีเรียนภาษาฝรั่งเศสซึ่งนิยมกันว่าไพเราะเหมาะกับสุภาพสตรีเท่านั้น

               นิสัยของแมรีแท้จริงแล้วเป็นคนขยันใฝ่รู้ศาสตร์ต่าง ๆ อย่างมาก ก่อนแต่งงานเธอเคยเข้าเรียนในโรงเรียนประจำและโรงเรียนสอนการอ่านเขียนคำนวณที่สก็อตแลนด์บ้านเกิดเป็นช่วงระยะเวลาสั้น ๆ รวมถึงชอบอ่านหนังสือเรียนรู้ด้วยตนเอง ทำให้แมรีรู้ภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส ละติน และกรีก ในระดับที่อ่านวรรณคดีได้ และยังสนใจทฤษฎีทางคณิตศาสตร์ โดยเฉพาะพีชคณิตและเรขาคณิต ด้วยการขอให้ครูของพี่น้องผู้ชายในบ้านช่วยเลือกตำรามาให้อ่านเสมอ หลังสามีเสียชีวิต แมรีจึงเดินทางกลับสก็อตแลนด์ พร้อมกับเงินมรดกจากสามีที่บัดนี้เธอสามารถใช้เพื่อศึกษาหาความรู้ได้แล้ว

 

ภาพที่ 1: แมรี ซอเมอร์วิลล์

แหล่งที่มาภาพ: “Mary, Queen of Science.” Google Arts and Culture. n.d., https://artsandculture.google.com/story/mary-queen-of-science/vAXh32EXW2CjZA?hl=en.

 

               เรื่องแรกที่แมรีเริ่มศึกษาอย่างจริงจัง คือทฤษฎีแรงโน้มถ่วงของนักคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ปิแอร์-ซิโมน ลาปลาซ (Pierre-Simon Laplace) เมื่อเข้าใจถ่องแท้แล้วเธอเกิดความมั่นใจในสติปัญญาของตัวเองมากขึ้น จึงหันไปศึกษาดาราศาสตร์ เคมี ภูมิศาสตร์ จุลชีววิทยา ไฟฟ้า และแม่เหล็ก จนในที่สุดก็ทำห้องสมุดวิทยาศาสตร์ในบ้านที่สก็อตแลนด์ ในปี ค.ศ. 1812 แมรีตัดสินใจแต่งงานใหม่กับลูกพี่ลูกน้อง วิลเลียม ซอเมอร์วิลล์ (William Somerville) นายแพทย์ผู้ตรวจการในกองทัพบก เขาชื่นชมและสนับสนุนแมรีด้านการศึกษาอย่างเต็มที่ เมื่อเขาได้รับเลือกตั้งให้เป็นราชบัณฑิตแห่งสหราชอาณาจักร เขาก็พาแมรีย้ายไปอยู่อังกฤษและเข้าสู่วงสังคมปัญญาชน รู้จักกับนักวิทยาศาสตร์ นักเขียน และศิลปินที่น่าสนใจมากมาย เช่น เอดา เลิฟเลซ (Ada Lovelace) ซึ่งแมรีได้เป็นครูสอนพิเศษให้และไปกับเธอตามสัมมนาวิชาการต่าง ๆ ต่อมาภายหลังเลิฟเลสได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้คิดค้นภาษาคอมพิวเตอร์คนแรกของโลก

               ในช่วงปี ค.ศ. 1826 แมรีเขียนบทความวิจัยวิทยาศาสตร์เรื่องแรกเกี่ยวกับพลังแม่เหล็กของรังสีสุริยะที่หักเหได้ จากนั้นก็ช่วยงานสมาคมเผยแพร่ความรู้ที่เป็นประโยชน์ (Society for the Diffusion of Useful Knowledge – SDUK) แปลหนังสือดาราศาสตร์ของลาปลาซ และเขียนหนังสือชื่อ กลไกแห่งจักรวาล (The Mechanism of the Heavens) ในปี ค.ศ. 1831 เพื่ออธิบายทฤษฎีทางคณิตศาสตร์เบื้องหลังการทำงานของระบบสุริยะ ซึ่งปรากฏว่าเขียนได้ดีเลิศและทำให้แมรีมีชื่อเสียงอย่างฉับพลัน หนังสือเล่มนี้ได้รับคัดเลือกให้เป็นตำราเรียนของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (University of Cambridge) เป็นเวลานานถึง 50 ปี ไม่เพียงเท่านั้น แมรีได้เป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ของราชบัณฑิตยสถานดาราศาสตร์แห่งสหราชอาณาจักร ราชบัณฑิตยสถานแห่งไอร์แลนด์ สถาบันปรัชญาบริสตอล สมาคมฟิสิกส์และธรรมชาติวิทยาแห่งกรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ อีกทั้งราชสำนักอังกฤษยังมอบเงิน 200 ปอนด์ต่อปีเพื่อเป็นรางวัลสนับสนุนความสำเร็จด้านวิทยาศาสตร์และการประพันธ์ต่อไป นับเป็นผู้หญิงคนแรก ๆ ที่ได้รับเกียรติเช่นนี้

 

ภาพที่ 2: แผนภาพการโคจรของดวงจันทร์ในหนังสือกลไกแห่งจักรวาล

แหล่งที่มาภาพ: Christ, Marian. “Mary Somerville’s Innovative Translation: Mechanism of the Heavens.” The American Philosophical Society, 28 Oct 2020, https://www.amphilsoc.org/blog/mary-somervilles-innovative-translation-mechanism-heavens.

 

               แมรีเขียนหนังสือวิทยาศาสตร์ออกมาอีกหลายเล่ม ทั้งด้านฟิสิกส์ ภูมิศาสตร์ อุตุนิยมวิทยา จุลทรรศน์วิทยา และแน่นอนดาราศาสตร์ที่เธอเชี่ยวชาญ ในปี ค.ศ. 1836 แมรีสันนิษฐานว่า การคำนวณตำแหน่งของดาวยูเรนัส (Uranus) ที่ประสบความยุ่งยากซับซ้อนในสมัยนั้น อาจบ่งชี้ว่ามีดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่งที่ยังไม่ได้รับการค้นพบอยู่ในระยะใกล้เคียงกัน ข้อสันนิษฐานนี้ทำให้นักคณิตศาสตร์และดาราศาสตร์ชาวอังกฤษ จอห์น เคาช์ อดัมส์ (John Couch Adams) นำไปต่อยอดและคำนวณจนค้นพบดาวเนปจูน (Neptune) ในปี ค.ศ. 1845

               หนังสือเล่มที่โด่งดังที่สุดของแมรีชื่อเรื่อง ภูมิศาสตร์กายภาพ (Physical Geography) นอกจากจะแสดงคำอธิบายทางวิชาการแล้ว ยังทรงอิทธิพลในด้านแนวคิดที่ว่า มนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของผู้อยู่อาศัยในโลกธรรมชาติ ย่อมได้รับผลกระทบและส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่สิ่งสร้างของพระเจ้าที่มีฐานะพิเศษกว่าสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ หรือว่ามนุษย์ทำอะไรไปก็ไม่มีผลกระทบเพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับพระประสงค์ของพระเจ้าว่าโลกจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ซึ่งนับเป็นเรื่องใหม่สำหรับคนสมัยนั้นอย่างมาก และราชบัณฑิตยสถานภูมิศาสตร์แห่งสหราชอาณาจักรได้มอบเหรียญรางวัลแก่หนังสือเล่มนี้

               ในวัยชรา ครอบครัวซอเมอร์วิลล์ย้ายไปอยู่ที่ประเทศอิตาลีถาวรเนื่องจากวิลเลียมล้มป่วยและต้องรักษาตัวที่นั่น แต่แมรียังคงติดต่อกับนักวิทยาศาสตร์และปัญญาชนเรื่อยมา ประเด็นสำคัญที่แมรีสนใจนอกจากเรื่องวิทยาศาสตร์ คือการสนับสนุนสิทธิและการศึกษาแก่สตรี แมรีเขียนในบันทึกความทรงจำของเธอว่า “ตั้งแต่วัยเด็ก ความคิดของฉันวนติดอยู่กับการถูกกดขี่และสังคมทรราชย์มาตลอด ฉันเกลียดชังความอยุติธรรมของโลกที่ปฏิเสธไม่ให้อภิสิทธิ์แห่งการศึกษาทั้งหมดแก่เพศของฉัน ทั้งที่ให้แก่บุรุษเสียจนล้น” แม้ว่าหลังจากแมรีมีชื่อเสียงและได้รับการยกย่อง ผู้หญิงคนอื่น ๆ ที่ต้องการเรียนหนังสือหรือทำงานด้านวิทยาศาสตร์ก็ยังคงโดนปิดโอกาสด้วยวลี ‘จะยอมจ้างผู้หญิงก็ต่อเมื่อเก่งเท่าซอเมอร์วิลล์เท่านั้น’

               ในปี ค.ศ. 1868 แมรีเป็นคนแรกที่ลงชื่อในร่างคำร้องกฎหมายสิทธิสตรีของนักปรัชญาการเมือง จอห์น สจ็วร์ต มิลล์ (John Stuart Mill) แต่น่าเสียดายที่ร่างนี้ไม่ผ่านความเห็นชอบ แมรีเสียชีวิตในอีก 4 ปีต่อมาด้วยวัย 91 ปี บันทึกต่าง ๆ ความยาวกว่า 10,000 หน้าของเธอจึงได้ออกสู่สาธารณชน และเธอได้รับยกย่องให้เป็น ‘ราชินีแห่งวิทยาศาสตร์ (Queen of Science)’ ไม่นานหลังจากนั้น มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดเกิดสมาคมสนับสนุนการศึกษาขั้นสูงสำหรับสตรี (Association for the Higher Education of Women) และตั้งชื่อหนึ่งในสี่วิทยาเขตสตรีตามชื่อแมรี ซอเมอร์วิลล์ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจคุณลักษณะของนักศึกษาที่พึงประสงค์ด้านเสรีนิยม ความเท่าเทียมทางการศึกษา และความสำเร็จทางวิชาการ นักศึกษาวิทยาเขตซอเมอร์วิลล์ก็ได้เข้าร่วมการต่อสู้เพื่อสิทธิสตรีอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะการเดินขบวนประท้วงในช่วงปี ค.ศ. 1910 จนปัจจุบันยังมีทุนการศึกษาให้เปล่าสำหรับ
ผู้หญิงจากประเทศด้อยโอกาสทุกปี นับว่าเป็นอนุสรณ์ที่หากเจ้าของชื่อได้รับรู้ก็คงพอใจไม่น้อยทีเดียว

 

ภาพที่ 3: มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด วิทยาเขตซอเมอร์วิลล์

แหล่งที่มาภาพ: Allfrey, Philip. “Somerville College Hall.” Wikipedia, 3 Aug 2007, https://en.wikipedia.org/wiki/Somerville_College,_Oxford#/media/File:Somerville_College.jpg.

 

แหล่งข้อมูล

“A brief history of Somerville.” Somerville College, University of Oxford. 2024, https://www.some.ox.ac.uk/about/a-brief-history-of-somerville/

Bruck, M. T. “Mary Somerville, mathematician and astronomer of underused talents.” SAO/NASA Astrophysics Data System (ADS). 1996, https://adsabs.harvard.edu/

“Mary, Queen of Science.” Google Arts and Culture. n.d., https://artsandculture.google.com/story/mary-queen-of-science/vAXh32EXW2CjZA?hl=en

Neeley, Kathryn A. Mary Somerville: Science, Illumination, and the Female Mind. Cambridge: Cambridge University Press, 2001.

O'Connor, J. J., and Robertson, E. F. “Mary Fairfax Greig Somerville.” School of Mathematics and Statistics, University of St Andrews, Scotland. Nov 1999, https://mathshistory.st-andrews.ac.uk/Biographies/Somerville/

Somerville, Martha Charters, Somerville, Mary, and Royal College of Physicians of Edinburgh. “Personal recollections, from early life to old age, of Mary Somerville: with selections from her correspondence.” Internet Archive. 2015, https://archive.org/details/b21960239

แกลเลอรี่


ย้อนกลับ