หมายเหตุ ภาพปกบทความเป็นภาพสนามม้าราชกรีฑาสโมสร เนื่องจากไม่มีภาพของสนามม้านางเลิ้ง
สนามม้าแห่งแรกของประเทศไทยเริ่มขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ซึ่งก่อตั้งและบริหารจัดการโดยชาวยุโรปเมื่อปี พ.ศ.2444 ชื่อว่า “ราชกรีฑาสโมสร” (The Royal Bangkok Sports Club) ตั้งอยู่ที่ถนนอังรีดูนังต์ เพื่อให้เป็นสถานที่เล่นกีฬา แข่งม้าและเป็นแหล่งบันเทิงสำหรับชาวต่างชาติเฉพาะกลุ่มชนที่มีระดับ นอกจากนี้ยังเคยเป็นสถานที่เล่นกีฬากอล์ฟแห่งแรกในประเทศไทย รวมถึงถูกเลือกให้เป็นสถานที่ขึ้นบินและลงจอดเครื่องบินเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปีพ.ศ. 2454 โดยฟัน เดน บอร์น (Van den Born) นักบินชาวเบลเยียมได้นำเครื่องบินปีกสองชั้นที่ออกแบบโดยสองพี่น้องตระกูลไรต์ (Orville-Wilbur Wright) มาแสดงการบินเป็นครั้งแรกในประเทศไทย
ต่อมาราชกรีฑาสโมสรได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจนไม่เพียงพอต่อความต้องการของชนชั้นสูงในยุคนั้น อีกทั้งการสมัครเข้าเป็นสมาชิกค่อนข้างเข้มงวด ดังนั้น พระยาประดิพัทธภูบาลและพระยาอรรถการประสิทธิ์จึงได้ทำหนังสือทูลเกล้าฯ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เพื่อขอพระบรมราชานุญาตจัดตั้งสโมสรสนามม้าแข่งไทยเพื่อให้บริการแข่งม้าสำหรับคนไทยบนที่ดิน 279 ไร่ย่านนางเลิ้ง เมื่อทรงมีพระบรมราชานุญาตแล้วได้พระราชทานนามว่า “ราชตฤณมัยสมาคมแห่งกรุงสยาม” อีกทั้งทรงรับไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยรัชกาลที่ 6 ได้เสด็จพระราชดำเนินเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ.2459 และทรงส่งม้าในคอกส่วนพระองค์เข้าร่วมแข่งขันด้วย ดังนั้นการแข่งม้าในยุคแรกจึงเป็นกิจกรรมเฉพาะในกลุ่มชนชั้นสูงเท่านั้น
ภาพที่ 1 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เสด็จพระราชดำเนินเปิดราชตฤณมัยสมาคมแห่งกรุงสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ.2459
แหล่งที่มาของภาพ : https://vajiravudhcollege.online/OVtoVC/OVtoVC_159.htm
ภาพที่ 2 อัฒจันทร์ดูการแข่งม้าของสนามม้านางเลิ้ง
แหล่งที่มาของภาพ : https://readthecloud.co/remain-royal-turf-club/
ต่อมาภายหลังราชตฤณมัยสมาคมแห่งกรุงสยามได้เปลี่ยนชื่อเป็น ราชตฤณมัยสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (Royal Turf Club of Thailand under the Royal Patronage) ทว่าคนทั่วไปมักเรียกอย่างคุ้นชินปากว่า “สนามม้านางเลิ้ง” หรือสนามไทย เพื่อแยกจากราชกรีฑาสโมสรที่ถูกเรียกว่า สนามฝรั่ง
ผู้เขียนเติบโตมากับแวดวงม้าแข่งเนื่องด้วยคุณพ่อเป็นเจ้าของคอกม้า เวลาไปสนามม้าคุณพ่อก็มักพาลูกสาวติดสอยห้อยตามไปด้วยเสมอโดยเฉพาะสนามม้านางเลิ้งที่ไปบ่อยที่สุด โดยคอกของคุณพ่อส่งม้าเข้าลงแข่งแล้วได้รับรางวัลมากมาย ทั้งจากสนามไทยและสนามฝรั่งที่มีการจัดการแข่งม้าสลับกัน
ตั้งแต่ผู้เขียนเริ่มจำความได้ช่วงอายุ 3 - 4 ขวบก็นั่งเก้าอี้เด็กอยู่กับคุณพ่อข้างโต๊ะรัมมี่ (rummy) หรือโต๊ะเล่นไพ่ในห้องรามราฆพของสโมสรสนามม้านางเลิ้ง ซึ่งมีรูปปั้นม้าขนาดเท่าตัวจริงตั้งอยู่ด้านหน้าสโมสร
ผู้เขียนนั่งคอยดูคุณพ่อเล่นรัมมี่ หรือบางทีก็เล่นบิลเลียด (billiard กีฬาชนิดหนึ่งคล้ายสนุกเกอร์) หากวันไหนมีการแข่งม้า ผู้เขียนก็ตามคุณพ่อไปนั่งที่ห้องกรรมการ ซึ่งทั้งสองแห่งนี้มักคลุ้งโขมงด้วยควันบุหรี่ เพราะในสมัยก่อนเมื่อราวปี พ.ศ.2505 การสูบบุหรี่ในอาคารยังไม่ผิดกฎหมาย
“ขณะนี้เหลือเวลาอีก 5 นาที คณะกรรมการจะทำการปล่อยม้าแล้ว โปรดรีบซื้อตั๋ว”
เสียงประกาศในสนามม้าที่ผู้เขียนได้ยินเป็นประจำจะประกาศก่อนเริ่มการแข่งม้าทุกเที่ยว ซึ่งในแต่ละวันจะมีการแข่งประมาณ 11 – 12 เที่ยว หากม้าที่คอกของคุณพ่อลงแข่ง คุณพ่อจะพาไปดูการแข่งม้าที่ห้องกรรมการที่เป็นห้องแอร์ติดกระจกใสสามารถมองเห็นได้กว้างทั้งสนาม เมื่อถึงเวลาเจ้าของม้ามักใช้กล้องส่องทางไกลดูที่ลู่แข่งของจุดปล่อยตัวม้าซึ่งอยู่อีกฟากของสนาม และจุดเข้าเส้นชัยอยู่ตรงหน้าห้องของกรรมการพอดี ม้าจากคอกใครวิ่งเข้าเส้นชัยก็ไชโยโห่ร้องดีใจกันใหญ่โต
ในการแข่งรอบสำคัญก็มีถ้วยรางวัลมอบให้ด้วย ตามธรรมเนียมปกติเจ้าของคอกม้าที่วิ่งแข่งชนะจะจูงม้าของตัวเองไปรับรางวัล ซึ่งคุณพ่อก็ได้พาผู้เขียนไปรับรางวัลด้วยบ่อยครั้งจนที่บ้านเต็มไปด้วยถ้วยรางวัลม้าแข่ง
ภาพที่ 3 คุณพ่อจูงลูกสาวไปร่วมรับรางวัลที่ม้า “จุ๋มจิ๋ม” วิ่งเข้าเส้นชัยเมื่อ 16 ต.ค. พ.ศ.2509
บุคคลสำคัญที่มีผลต่อชัยชนะ คือ นักขี่ม้า หรือจ๊อกกี้ (jockey) ที่ต้องมีครูฝึกเก่งๆ ร่วมด้วย นักขี่ม้ามักมีรูปร่างเล็ก น้ำหนักไม่เกิน 60 กิโลกรัมเพื่อไม่ให้ม้าต้องแบกน้ำหนักมาก จึงจำเป็นต้องควบคุมน้ำหนักตัวและฝึกการบังคับม้าจนชำนาญ นักขี่ม้าที่ฝีมือดีจึงมีค่าตัวแพง นอกจากนี้ม้าแข่งที่มีสายพันธุ์ดีก็มีผลช่วยทำให้ม้ามีฝีเท้าดีวิ่งได้เร็ว เจ้าของคอกจึงนิยมสั่งม้าสายพันธุ์ดีจากต่างประเทศมาเป็นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ชั้นดี ปกติม้าเป็นสัตว์ที่มีอายุขัยเฉลี่ยเพียง 25 – 30 ปี ม้าแข่งที่ถูกปลดระวางก็อาจถูกส่งต่อไปแข่งยังสนามรองในต่างจังหวัดหรือไม่ก็เป็นม้าขี่เล่นตามรีสอร์ท จึงเป็นเรื่องน่าเศร้าที่ม้าแก่หมดประโยชน์แล้วจะถูกจำหน่ายออกเพราะมันก็รักและผูกพันกับคนเลี้ยง ต่างจากสัตว์เลี้ยงอื่นๆ อย่างสุนัข แมวที่เจ้าของมักรักและเลี้ยงดูกันไปตลอดชีวิต
แม้มีคนพยายามบอกว่าการแข่งม้าเป็นเกมกีฬาอย่างหนึ่ง แต่ในสมัยก่อนมีข่าวบ่อยครั้งที่ม้าลงแข่งขาดใจตายคาเส้นชัย เจ้าของม้าวิ่งลงไปกอดศพม้าร้องไห้แทบขาดใจตายตาม หรือบางครั้งม้าเกิดการบาดเจ็บขาหักระหว่างการวิ่งแข่งจากการถูกบังคับให้วิ่งเกินกำลัง ในสมัยก่อนม้าตัวนั้นก็ถูกคร่าชีวิตลงด้วยการยิงทิ้งเท่านั้น แม้ม้าจะเป็นสัตว์ที่ชอบการวิ่ง แต่การบังคับให้วิ่งสุดชีวิตด้วยการเฆี่ยนตีแส้อย่างแรงย่อมผิดธรรมชาติและเป็นการทรมานสัตว์อย่างหนึ่ง รวมถึงความนิยมในการเล่นพนันแข่งม้ามิได้จำกัดอยู่เฉพาะในวงสังคมของชนชั้นสูงเท่านั้น หากแต่ได้รับความนิยมในทุกกลุ่มชนชั้น ซึ่งการพนันแข่งม้าได้กลายเป็นปัญหาสังคมและส่งผลกระทบกับครอบครัวไม่น้อยที่สูญเงินไปกับการพนัน
ด้วยความเป็นเด็ก ผู้เขียนจึงไม่มีความรู้ใดๆ เกี่ยวกับการแข่งม้าเลย รู้เพียงแต่ว่าเมื่อนั่งรถกลับบ้านหลังเลิกการแข่งม้าในตอนเย็นมองเห็นสมุดโปรแกรมม้าแข่งปกเขียวปกแดงถูกทิ้งเกลื่อนเต็มถนนพิษณุโลก เห็นผู้คนนับพันเหงื่อไหลย้อย เดินคอตกหน้าเศร้าออกมาเพราะเสียเงินพนันแข่งม้าจนหมดตัว กระนั้นแม้เป็นเด็กก็รู้สึกหดหู่กับภาพผู้คนเหล่านั้น แม้ปัจจุบันครอบครัวผู้เขียนได้เลิกกิจการคอกม้าแข่งมานานหลายสิบปีแล้ว ผู้เขียนยังระลึกถึงความทรงจำเกี่ยวกับสนามม้านางเลิ้งเสมอ
ปัจจุบันสนามม้านางเลิ้งได้ปิดตัวลงถาวรแล้วหลังเปิดทำการมานานถึง 102 ปี โดยมีการแข่งม้าวันสุดท้ายเมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ.2561 อันเนื่องมาจากสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ไม่ต่อสัญญาเช่าที่ดิน ด้วยในหลวงรัชกาลที่ 10 ทรงเล็งเห็นว่าการพนันแข่งม้าได้ส่งผลเสียอย่างมากต่อประชาชน โดยทรงพระราชทานพื้นที่ดังกล่าวให้จัดทำเป็นสวนสาธารณะและแหล่งเรียนรู้เป็นอุทยานเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระบรม
ชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชา บรมนาถบพิตร ดังเช่นในปัจจุบัน
ภาพที่ 4 อุทยานเฉลิมพระเกียรติฯ รัชกาลที่ 9 บนพื้นที่ 279 ไร่ของสนามม้านางเลิ้งเดิม
แหล่งที่มาของภาพ: https://www.thaich8.com/news_detail/102993#google_vignette