Museum Core
เรื่องราวที่ถูกเล่าขานผ่านเครื่องทอง
Museum Core
08 เม.ย. 68 143
ประเทศไทย

ผู้เขียน : ธีร์จุฑา ปฏิเวธ

               หากกล่าวถึงราชธานีเก่าของประเทศไทย หลายคนคงนึกถึงจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมืองโบราณที่เป็นศูนย์รวมความเจริญของชาวสยามมาเนิ่นนาน ร่องรอยความเจริญที่ยังปรากฎในรูปแบบโบราณสถานและโบราณวัตถุดึงดูดให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมากมายแวะเวียนมาเยี่ยมชมเมืองเก่าแห่งนี้ไม่ขาดสาย ภายในเขตเมืองเก่ามีโบราณสถานสำคัญเยอะมากจนหลายคนอาจสงสัยเหมือนผู้เขียนว่า เมืองโบราณแห่งนี้ยังมีโบราณวัตถุหลงเหลืออยู่หรือไม่ ในบทความนี้ผู้เขียนขออาสาพาไปหาคำตอบเกี่ยวกับโบราณวัตถุสมัยอยุธยากัน

               ท่ามกลางโบราณสถานอันเลื่องชื่อนับร้อยแห่ง มีพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา ซ่อนตัวอยู่ในเขตเมืองเก่าจนถูกมองข้าม หรือนักท่องเที่ยวไม่รู้จัก และพลาดโอกาสที่จะได้ค้นพบความจริงเกี่ยวกับโบราณวัตถุสมัยอยุธยา ในตอนแรกผู้เขียนก็ไม่ได้รู้สึกว่าสถานที่แห่งนี้มีความน่าสนใจ จนกระทั่งสะดุดตากับป้ายนิทรรศการชุดเครื่องทองที่จัดแสดงอยู่ในอาคารย่อยของพิพิธภัณฑ์ แค่เพียงเห็นคำว่า “ทอง” ผู้เขียนก็เกิดความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาทันทีจนต้องแวะเข้าไปเยี่ยมชม และด้วยความอยากรู้นี้ทำให้ผู้เขียนดำดิ่งไปกับเรื่องราวที่ถูกเล่าขานผ่านเครื่องทองในยุคสมัยอันแสนเจริญรุ่งเรืองของสยามประเทศ

 

ภาพที่ 1 เครื่องประดับทองในสมัยอยุธยา

 

               หลังเลื่อนประตูบานใหญ่ให้เปิดออก แสงสีทองอร่ามในห้องจัดนิทรรศการย้อมให้บรรยากาศภายในดูเรืองรองเกินบรรยาย ไฟสีขาวสาดแสงลงบนเครื่องทองตัดกับพื้นหลังสีดำแดงช่วยขับเน้นให้เครื่องทองดูโดดเด่นสะดุดตา โบราณวัตถุชิ้นใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่กลางห้องดึงดูดความสนใจของผู้เขียนอย่างรวดเร็ว สิ่งนั้นคือ “พระแสงขรรค์ชัยศรี” ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ ทำจากหินเขี้ยวหนุมานและทองคำประดับแก้วอันเป็นสีเอกลักษณ์เฉพาะของช่างอยุธยา ลวดลายที่ประดับอยู่บนฝักพระแสงไม่เพียงแสดงถึงความวิจิตรตระการตา หากยังคงชี้ให้เห็นถึงการรับศิลปะเปอร์เซีย-อิสลามเข้ามาผสมผสานกับศิลปะอยุธยาได้อย่างลงตัว อีกทั้งด้วยความประณีตของช่างทองทำให้เครื่องทองแต่ละชิ้นมีเอกลักษณ์พิเศษเฉพาะตัว โดยเฉพาะเครื่องทองโบราณจากกรุวัดราชบูรณะที่มีลวดลายวิจิตรมากเนื่องด้วยมีความสัมพันธ์เกี่ยวกับกษัตริย์และขุนนางชั้นสูง

               บรรดาเครื่องใช้ที่นำมาจัดแสดงมีหลากหลายชนิดแต่จะมีอยู่ชิ้นหนึ่งที่ต้องตาโดนใจผู้เขียนจนต้องนำมาเล่าสู่กันฟังเป็น “พานพระขันหมาก” เป็นชุดเครื่องประกอบสำหรับเสวยหมากของพระมหากษัตริย์ ซึ่งในพานประกอบด้วยซองพลู ตลับหมาก เต้าปูน และยาเส้น โดยพิพิธภัณฑ์จัดทำรูปภาพจำลองเพื่ออธิบายการใช้งานไว้ ดังนั้นการกินหมากจึงปรากฏอยู่ในวิถีชีวิตของชาวไทยมาตั้งแต่สมัยอยุธยา และได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในกลุ่มขุนนาง ชนชั้นสูง ตลอดจนสามัญชน ทว่าเมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไปการกินหมากเริ่มเสื่อมความนิยมลงทำให้พานพระขันหมากถูกใช้เป็นเครื่องประกอบพระอิสริยยศพระมหากษัตริย์เท่านั้น

               นอกจากนี้ทองคำยังถูกนำมาใช้ทำเครื่องประดับ อาทิ หัวเข็มขัด กำไล ปิ่น และแหวน ซึ่งตกแต่งประดับด้วยพลอยโบราณที่มักหลุดหายตามกาลเวลา หรือถูกขโมยไปเมื่อครั้งกรุแตก ทำให้แหวนหลายวงคงเหลือเพียงเรือนแหวนเปล่าที่ดูอาจขัดใจใครหลายคน ทว่าแหวนที่ไม่มีพลอยประดับหัวแหวนกลับกลายเป็นจุดที่ดึงดูดความสนใจของผู้เขียน ด้วยลวดลายบนแหวนแลดูเด่นชัดขึ้น และแสดงให้เห็นฝีมือของช่างทองในสมัยอยุธยาได้อย่างชัดเจน อีกทั้ง ทองคำนับเป็นโลหะมีค่าที่ใช้เป็นตัวแทนเครื่องบ่งบอกสถานะทางเศรษฐกิจที่มีความมั่งคั่งร่ำรวยในทุกยุคสมัยมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ดังเห็นการสวมใส่เครื่องประดับที่ทำด้วยทองคำจึงได้รับความนิยมมากขึ้นในหมู่ชนชั้นสูงมาแต่เก่าก่อน และทวีความนิยมมากในสมัยอยุธยาที่สภาพสังคมและเศรษฐกิจมีความเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด

 

ภาพที่ 2 เจดีย์สมัยอยุธยาตอนต้น พุทธศตวรรษที่ 20

 

               ต่อมา ภายในห้องจัดแสดงที่สองถูกตกแต่งอย่างเรียบง่ายไร้เครื่องประดับ หรือเครื่องทองอันหรูหรา หากแต่เป็นการจัดแสดงศิลปะสมัยอยุธยาตอนต้นที่ถูกถ่ายทอดผ่านมุมมองทางศาสนา โดยเฉพาะเจดีย์ทรงระฆังตั้งอยู่ที่มุมห้องดูโดดเด่นสะดุดตา บริเวณองค์ระฆังตกแต่งด้วยกลีบบัวขนาดใหญ่ และประดับอัญมณีรอบฐานเจดีย์อย่างงดงาม สะท้อนให้เห็นว่าพระพุทธศาสนามีความเจริญรุ่งเรืองและเป็นศูนย์รวมใจของชาวไทยมาตั้งแต่อดีต รวมถึงอิทธิพลความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ก็เข้ามามีบทบาทต่อสังคมไทยในสมัยอยุธยาไม่น้อย ตามคติของพราหมณ์ฮินดูเชื่อว่ากษัตริย์เป็นร่างอวตารของพระนารายณ์ที่จุติบนโลกมนุษย์ โดยมีครุฑเป็นสัตว์พาหนะและสื่อสัญลักษณ์แทนพระนารายณ์ สังเกตเห็นได้จากลวดลายที่ใช้ในงานประดับตกแต่งที่มีความเกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์จะมีรูปครุฑเพื่อสื่อถึงความเป็นเทวราชาในสมัยอยุธยา อย่างการใช้สัญลักษณ์ครุฑยุดนาค (หรือครุฑจับนาค) บนเครื่องทอง หรือเครื่องประดับตกแต่งในพิธีการของราชสำนักที่พบเห็นได้บ่อยครั้ง

               ห้องโถงสุดท้ายที่ผู้เขียนเยี่ยมชมเป็นห้องจัดแสดงพระบรมสารีริกธาตุที่ค้นพบในโบราณสถานจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมีจุดเด่นสำคัญเป็นผอบหินที่ภายในมีสถูปจำลองทำจากวัสดุต่าง ๆ ซ้อนชั้นกันได้ถึงเจ็ดชั้นเพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ สถูปชั้นที่หกทำจากอัญมณีวางซ้อนกันสามชั้น ชั้นล่างเป็นพลอยสีดอกตะแบก ชั้นกลางเป็นไพฑูรย์ และชั้นบนเป็นสปิเนล (Spinel) หายากสีแดง รัดรวมกันด้วยสาแหรกทองคำ ยอดฝาตลับประดับเพชร และภายในตลับทองคำประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุหนึ่งองค์ สัณฐานคล้ายเกล็ดพิมเสนสีขาวเป็นรุ้งพราว ถัดจากกันไม่ไกลคือแจกันเงิน ประดับด้วยดอกบัวบานที่ทำจากเงินและทองคำใช้เพื่อสักการะบูชาพระบรมสารีริกธาตุ โบราณวัตถุเหล่านี้ตอกย้ำให้ผู้เขียนเห็นว่าพระพุทธศาสนามีอิทธิพลต่อสังคมไทยในสมัยอยุธยาเป็นอย่างมาก ทั้งการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาบูชาเพื่อเป็นมิ่งขวัญแก่บ้านเมือง และชาวอยุธยายังสร้างสถูปและเครื่องสักการะอย่างวิจิตรงดงามด้วยแรงศรัทธา จึงสามารถสรุปได้ว่าศาสนาพุทธเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจและเลื่อมใสศรัทธาของพุทธศาสนิกชนชาวไทยมาอย่างยาวนานไม่เสื่อมคลาย

 

ภาพที่ 3 สถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ชั้นที่ 6

 

               หลังเดินเยี่ยมชมทุกห้องจัดแสดงเรียบร้อยแล้ว ผู้เขียนพบว่าการได้เยี่ยมชมนิทรรศการเครื่องทองอยุธยาแห่งนี้ให้ความรู้สึกที่ค่อนข้างแตกต่างจากสิ่งที่ผู้เขียนคาดคิดไว้ว่าจะได้เห็นเครื่องทองและเครื่องประดับดังที่จัดแสดงไว้ในห้องแรก ทว่าห้องจัดแสดงถัดไปกลับยิ่งเผยให้เห็นมุมมองใหม่เกี่ยวกับราชธานีเก่าแห่งนี้ผ่านโบราญวัตถุที่ผู้เขียนไม่เคยคิดมาก่อนว่าทองคำที่เป็นโลหะสวยงามทางโลกถูกนำไปใช้ตกแต่งบนวัตถุทางธรรมได้อย่างวิจิตรตระการตาแล้ว เครื่องทองเหล่านี้ยังบ่งบอกถึงวิถีชีวิต ศิลปะ สังคม และคติความเชื่อทางศาสนามากมาย

               การมาเที่ยวชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา ทำให้ผู้เขียนได้เห็นอยุธยาในมุมมองใหม่เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม ทั้งโบราณสถาน โบราณวัตถุที่ถูกรวบรวมไว้ที่นี่อัดแน่นไปด้วยเรื่องราวอันทรงคุณค่า เป็นความงดงามที่มาจากคราบเก่าแห่งความทรงจำที่ผ่านการใช้งานที่หาไม่ได้จากสิ่งที่ใหม่เอี่ยม แม้ว่าเครื่องทองบางชิ้นอาจไม่ได้อยู่ในสภาพที่ครบสมบูรณ์ แต่คุณค่าที่สั่งสมผ่านกาลเวลาทำให้วัตถุชิ้นนั้นทรงคุณค่าเกินกว่าจะบรรยาย วิถีชีวิตของชาวอยุธยา บรรยากาศแห่งวันวานที่อบอวลอยู่ในพิพิธภัณฑ์ถูกเล่าขานผ่านเครื่องใช้ที่เผยออกมาผ่านลวดลายอันแสนวิจิตร และความเชื่อที่ถ่ายทอดผ่านความประณีต แสดงให้ผู้เข้าชมได้เห็นถึงรูปแบบวัฒนธรรมอันดีงามของไทย ซึ่งถูกส่งผ่านจากรุ่นสู่รุ่นมาจนถึงปัจจุบัน และเมื่อเห็นคุณค่าของวัตถุแห่งวัฒนธรรมเหล่านี้ก็จะทำให้ชาวไทยรู้สึกภูมิใจ หวงแหน และเห็นค่าในวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของไทยมากยิ่งขึ้น

แกลเลอรี่


ย้อนกลับ