Museum Core
เคหาสน์สีน้ำเงิน
Museum Core
08 เม.ย. 68 96
ประเทศมาเลเซีย

ผู้เขียน : สุพิตา เริงจิต

 

ภาพที่ 1 จั่วประดับกระเบื้องเคลือบหนึ่งในจุดที่โดดเด่นของบลูแมนชั่น

 

               ผู้เขียนเดินเลาะชายคาอาคารแบบชิโนโปรตุเกสบนถนนลีธ (Leith) ฝ่าความร้อนระอุของเที่ยงวันไปถึงแมนชั่นสีน้ำเงิน (The Blue Manion) ริมทางด้านหน้ามีลมพัดต้นหลิวใบไหวเบาๆ ช่วยให้อากาศเย็นลง ความร้อนของเกาะปีนังอาจเป็นหนึ่งในเหตุผลที่บุรุษระบือนามเจ้าของแมนชั่น ‘ชงฟัตเจ๋อ’ (Cheong Fatt Tze ค.ศ.1840–1916) ทาน้ำปูนสีครามให้กับคฤหาสน์แห่งนี้ที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสองหลังของบ้านแบบจีนที่ใหญ่ที่สุดนอกแผ่นดินจีน

 

ภาพที่ 2 ด้านหน้าของเดอะบลูแมนชั่น

 

 

               แสงจ้าจากภายนอกสลัวลงเมื่อเข้าสู่โถงด้านใน ผู้นำชมพิพิธภัณฑ์พาผู้มาเยือนมายังส่วนลานกลางบ้าน ซึ่งตามฮวงจุ้ยถือเป็นหัวใจของบ้าน จุดที่ฮวง (ลม) และน้ำ (จุ้ย) มาบรรจบกัน สร้างพลังอันแข็งแกร่งให้กับบ้าน ลานกลางบ้านแบบจีนเปิดออกรับลมและฝนจากท้องฟ้า มีห้องต่างๆ รายรอบ ล้วนเปิดออกมายังลานตรงกลางตามคติ ‘สวรรค์ทรงกลม’ พร้อมทั้งเล่าว่าบ้านหลังนี้สร้างขึ้นตามหลักฮวงจุ้ยที่ได้รับการคำนวณอย่างแม่นยำ โดยซินแสที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งยุค เดินถือเข็มทิศตรวจตราการสร้างและการจัดวางข้าวของในทุกตารางนิ้วของบ้านอย่างพิถีพิถัน เพื่อตอบสนองความปรารถนาของผู้เป็นเจ้าของที่วาดหวังให้เคหาสน์ของครอบครัวแห่งนี้ดำรงอยู่สืบไปถึง 9 ชั่วรุ่น ทั้งนี้ตามคติจีน 9 ถือว่ายาวนาน จึงมีนัยถึงยั่งยืนตลอดไป

 

ภาพที่ 3 ลานกลางบ้าน มองเห็นพื้นกระเบื้องแบบอังกฤษและเครื่องไม้ของจีน

 

               ชงฟัตเจ๋อ (เป็นสำเนียงกวางตุ้งของ 張弼士 หรือ จางปี้ซี่ ในภาษาจีนกลาง) เป็นชาวฮากกา (จีนแคะ) เกิดในมณฑลกวางตุ้ง เมื่อปี ค.ศ. 1840  ตอนอายุเพียง 16 ปี เขาออกจากบ้านลงเรือตามรอยเพื่อนร่วมมาตุภูมิที่พากันอพยพมาแสวงหา ‘ชีวิตที่ดีกว่า’ ในหนานหยาง (เอเชียตะวันออกเฉียงใต้) เขาขึ้นฝั่งที่ปัตตาเวีย (จาร์กาตาร์ อินโดนีเซีย) ในปี ค.ศ.1856 ด้วยไม่มีทุนรอนใดๆ เขาจึงเริ่มอาชีพแรกด้วยแรงกาย ออกหาบน้ำขาย พร้อมฝึกภาษาจนได้ขยับมาเป็นเสมียนร้านค้า ความหมั่นเพียรทั้งมีหัวทางการค้าทำให้เป็นที่พอใจของเจ้าของร้าน ซึ่งไม่เพียงยกบุตรสาวให้ ยังมอบโอกาสด้วยเงินทุนให้เขาเริ่มต้นทำการค้าจนสามารถเติบโตเป็นเจ้าของบริษัทข้ามชาติในท้ายที่สุด

               กล่าวกันว่าชงฟัตมีโชคและพรสวรรค์ในการมองหาช่องทางการลงทุน กิจการที่เขาเลือกลงทุนนำผลกำไรมากมายมาให้ แต่ชงฟัตคิดต่างออกไปและเคยตอบคำถามถึงที่มาของความสำเร็จว่า “ฉันเก็บรับสิ่งที่ผู้อื่นละทิ้งและละทิ้งสิ่งที่ผู้อื่นแสวงหา ฉันทำได้ทั้งเดินหน้าและถอยหลัง แต่สิ่งที่ฉันเห็นว่าสำคัญที่สุดคือการสนับสนุนจากผู้คนและการไขว่คว้าโอกาส”

               เขาลงทุนในหลากหลายกิจการและหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็น ธนาคาร โรงงานแก้ว สิ่งทอ ปศุสัตว์ ฯลฯ รวมถึงการเดินเรือกลไฟ โดยมีเรื่องเล่าว่าเขาก่อตั้งบริษัทเดินเรือของตัวเองหลังถูกปฏิเสธไม่ให้ขึ้นห้องโดยสารชั้นหนึ่งจากบริษัทอื่น เรือของเขาให้บริการหลายเส้นทางรวมทั้งเส้นทางปีนัง-ทุ่งคาและถลาง

               แม้อพยพมาอยู่โพ้นทะเล แต่ชงฟัตมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับรัฐบาลของราชวงศ์ชิง เขาสนับสนุนเงินทุนในการพัฒนาจีน เช่น การสร้างทางรถไฟ การเดินเรือ ฯลฯ จนได้รับการอวยยศเป็นขุนนางชั้นสูง นอกจากนี้ด้วยความชื่นชอบการเดินทางและไวน์ ในปีค.ศ. 1892 เขาลงทุนสร้างโรงไวน์ชื่อ จางอี้ว์ ที่เมืองเยียนไถ มณฑลซานตง ประเทศจีน โรงไวน์แห่งนี้ยังคงมีชื่อเสียงจนถึงทุกวันนี้และโดยอยู่ภายใต้การดูแลของรัฐบาลจีน

 

ภาพที่ 4 ภาพถ่ายของชงฟัตเจ๋อในเครื่องแต่งกายแบบจีน

 

               ในฐานะนักธุรกิจข้ามชาติที่มั่งคั่งจนหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ส (New York Time) ขนานนามให้เขาว่า
ร็อกกี้เฟลเลอร์แห่งตะวันออก’ (The Rockefeller of China) ชงฟัตมีบ้านโอ่อ่ามากมายหลายหลังในประเทศจีนและกระจายตามประเทศต่างๆ ที่เขาไปสร้างฐานธุรกิจ ในบรรดาบ้านทั้งหมดแมนชั่นสีครามคือหลังที่เขาโปรดปรานที่สุด และเป็นที่พักของ ตันไต้โป (Tan Tay Po)  ภรรยาคนที่ 7 ที่แต่งงานตอนอายุ 20 ปี ในขณะที่เขาอายุ 70 ปี แม้ต่อมาชงฟัตรับสาวน้อยจากเซี่ยงไฮ้มาเป็นภรรยาคนที่แปด แต่คุณนายเจ็ดเป็นคนที่เขารักมากที่สุด และในพินัยกรรมเขามอบบ้านหลังนี้ให้กับเธอและลูกชาย

               ชงฟัตตั้งใจสร้างบ้านที่ปีนังให้ไม่เพียงใหญ่ที่สุด แต่ยังหรูหราและประณีตที่สุดในยุคสมัยของเขา ในเวลานั้นเพื่อนชาวจีนผู้มีฐานะส่วนใหญ่สนใจสร้างบ้านตามแบบบ้านในอาณานิคมเมืองร้อนของอังกฤษ (Anglo-Indian Houses) แต่เขาชื่นชอบภูมิปัญญาและความงดงามของบ้านแบบจีน

               เขาระดมช่างฝีมือจากตอนใต้ของจีนและสั่งซื้อวัสดุที่ดีที่สุดจากทุกมุมโลก รวมเวลาในการสร้างยาวนานกว่า 7 ปี จึงแล้วเสร็จในปี ค.ศ.1904 ด้วยเหตุที่เป็นบ้านแบบจีนในปีนังซึ่งอยู่ใต้อาณานิคมของอังกฤษ  ตัวบ้านจึงเป็นการผสมผสานความหรูหราแบบจีนประเพณีกับสไตล์สมัยใหม่จากตะวันตก

               เมื่อยืนตรงกลางลานบ้านแบบจีน มองไปโดยรอบแลเห็นเสาคอรินเธียน หน้าต่างกระจกสีอาร์ตนูโว และพื้นปูเป็นกระเบื้องลายเรขาคณิตสไตล์อังกฤษ แม้ฟังดูหลากหลายแต่ทั้งหมดได้รับการผสมผสานอย่างเหมาะเจาะลงตัว ด้วยฝีมืออันปรานีต อาทิ ลูกกรงเหล็กดัดของสก็อตแลนด์กับโครงไม้ฝีมือช่างกวางตุ้ง

 

ภาพที่ 5 นักท่องเทีี่ยวบนระเบียงที่มีการผสมผสานระหว่างงานเหล็กจากสก็อตแลนด์

กระจกสีอาร์ตนูโว และงานไม้ของจีน

 

               สีน้ำเงินอันโดดเด่นของคฤหาสน์หลังนี้เป็นสีธรรมชาติจากต้นคราม ซึ่งเป็นสียอดนิยมและมีราคาสูงในเวลานั้น โดยชาวอังกฤษเป็นผู้นำเข้าจากอินเดีย ในการทาผนังต้องใส่น้ำปูนขาวผสมเพื่อให้สีอ่อนลง อีกทั้งปูนขาวมีคุณสมบัติช่วยดูดซับความชื้นและทำให้บ้านเย็นสบาย

               ความใหญ่โตของบ้านวัดได้จากการมีลานกลางบ้านถึง 5 ลาน มีห้องรวม 38 ห้อง หน้าต่าง 220 บาน บันได 7 อัน นอกจากนี้ยังมีส่วนคอกม้าและตึกที่พักของคนรับใช้ตลอดจนญาติห่างๆ ตั้งอยู่อีกฟากของถนน  นอกจากเป็นบ้านอยู่อาศัย ชงฟัตยังใช้สถานที่นี้เป็นสำนักงาน และห้องทำงานในฐานะกงสุลกิตติมศักดิ์ของจีน เรียกได้ว่าในยุครุ่งเรืองบ้านนี้เป็นศูนย์กลางธุรกิจการเงินของปีนังที่มีผู้คนมาเยือนไม่ขาด

               วันที่ 11 กันยายน ค.ศ.1916 ชงฟัตเสียชีวิตด้วยโรคปอดบวมที่ปัตตาเวีย อินโดนีเซีย หน่วยงานอังกฤษในปีนังกับสิงคโปร์ และหน่วยงานเนเธอร์แลนด์ที่ปัตตาเวียต่างลดธงลงครึ่งเสาเพื่อรำลึกถึงบุคคลสำคัญผู้นี้ ร่างของเขาได้รับการเคลื่อนย้ายไปยังปีนัง สิงคโปร์ และฮ่องกงเพื่อให้ผู้คนได้ร่วมอำลาก่อนนำไปฝังที่ประเทศจีน  

               สำหรับแมนชั่นสีน้ำเงิน ชงฟัตทำพินัยกรรมกันเงินเป็นค่าบำรุงรักษาและห้ามขายจนกว่าบุตรชายคนสุดท้องจากคุณนายที่เจ็ดเสียชีวิต คุณนายเจ็ดได้พยายามอย่างเต็มที่ในการรักษามรดกไว้ให้บุตรชายที่มีอายุเพียงสองขวบตอนบิดาเสียชีวิต แต่ปัญหาการบริหารจัดการเงิน ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกและสงครามโลกสองครั้ง ส่งผลให้ฐานะของครอบครัวถดถอยและตัวบ้านค่อยๆ ทรุดโทรมลง

               หลังคุณนายเจ็ดเสียชีวิตลงในวัยเพียง 42 ปี ลูกสะใภ้ของเธอซึ่งนิยมบ้านสมัยใหม่มากกว่าย้ายออกไป และพยายามหารายได้ด้วยการแบ่งพื้นที่ให้เช่า แมนชั่นหลังใหญ่กลายเป็นที่อยู่อาศัยของแรงงานต่างถิ่นกว่า 30 ครอบครัว และเมื่อสามีเสียชีวิตในปี ค.ศ.1989 เธอประกาศขายมรดกชิ้นนี้ที่อยู่ในสภาพทรุดโทรมอย่างหนัก

 

ภาพที่ 6 แมนชั่นในปีที่นำออกขาย

 

               โชคดีที่สุดท้ายคฤหาสน์หลังนี้ตกอยู่ในมือกลุ่มนักอนุรักษ์กลุ่มเล็กๆ  นำโดย ลอว์เรนซ์ หลัว (Laurence Loh) สถาปนิกชาวปีนัง พวกเขาใช้เวลากว่า 10 ปี ในการบูรณะบ้านกลับคืนสู่ยุคที่เคยรุ่งเรือง โดยพยายามรักษารูปแบบเดิมให้มากที่สุด อาทิ การซ่อมแซมจั่วประดับกระเบี้องเคลือบอันเป็นจุดที่โดดเด่นที่สุดของบ้าน ตามกรรมวิธี ‘ตัด-ติด’ หรือ ‘เจี่ยนจาน(剪粘)’ หรือการตัดชามกระเบื้องเคลือบเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วนำมาติดประดับเป็นลวดลายยึดด้วยปูนขาว ซึ่งในการบูรณะต้องใช้ชามนำเข้าจากจีนประมาณ 10,000 ใบ

               การบูรณะแล้วเสร็จในปี ค.ศ.1995 เปิดให้สาธารณชนเข้าชมความงามจากอดีตในรูปแบบพิพิธภัณฑ์และบูทีคโฮเต็ล ผลงานการบูรณะบูลแมนชั่นได้รับรางวัลหลายรางวัล รวมทั้งรางวัล  Most Excellent Project in the Asia Pacific Heritage จากยูเนสโก (UNESCO) ในปี ค.ศ. 2000

               คฤหาสน์สีน้ำเงินแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็นอาคารที่ถูกถ่ายรูปมากที่สุดในปีนัง และปรากฏในสารคดีตลอดจนภาพยนตร์สั้นและยาวหลายเรื่อง รวมทั้ง Indochine ภาพยนตร์ฝรั่งเศสที่ได้รับรางวัลออสการ์ในปีค.ศ.1993 และภาพยนตร์ดัง Crazy Rich Asians

               พื้นที่ส่วนหนึ่งของแมนชั่นได้รับการจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์ แสดงข้าวของเครื่องใช้ที่หลงเหลืออยู่ในห้องเก็บของ อาทิ หมวกทรงสูงแบบตะวันตกของชงฟัต ผ้าคลุมเก้าอี้แบบจีน รวมทั้งรองเท้าและชุดกี่เพ้าไหมของคุณนายเจ็ด ซึ่งมีกระดุมจำนวนมากจนต้องมีคนรับใช้ช่วยติด

 

ภาพที่ 7 ภาพคุณนายที่เจ็ดและชุดกี่เพ้าของเธอ

 

               “อาคารหลังนี้บอกให้รู้ว่า ผู้คนใช้ชีวิตอย่างยิ่งใหญ่เพียงใดเมื่อหนึ่งศตวรรษก่อน ดังนั้น ผมคิดว่าเรามีความรับผิดชอบที่จะต้องรักษาเรื่องราวนั้นให้คงอยู่ต่อไป” ลอว์เรนซ์ หลัวให้สัมภาษณ์กับสื่อในฐานะเจ้าของคนปัจจุบัน ดังนั้น ในทุกวันมีผู้คนใหม่ๆ จากทุกมุมโลกได้ฟังเรื่องราวของชงฟัตเจ๋อ เสหมือนหนึ่งว่าชีวิตและเรื่องราวของเขายังคงสดใหม่และดำรงอยู่ในเคหาสน์สีน้ำเงิน สถานที่พิเศษสุดของเขาเช่นที่เคยเป็นมา

               ผู้เขียนออกมายืนพักใต้ต้นหลิวอีกครั้ง มองไปยังอาคารและจั่วประดับกระเบื้องอันงดงามที่เกิดใหม่จากซากหักพัง บางคนเชื่อว่าอิทธิพลของฮวงจุ้ยทำให้บ้านหลังนี้ยังคงยืนยงอยู่ ไม่ว่าเรื่องฮวงจุ้ยจะมีส่วนมากน้อยเพียงใด ผู้เขียนก็ดีใจที่แมนชั่นสีน้ำเงินแห่งนี้ฟื้นคืนกลับมาและเปิดกว้างให้คนอีกหลายรุ่นถัดไปได้ชื่นชมอาจนานกว่า 9 ชั่วรุ่นก็เป็นได้

 

แหล่งข้อมูลอ้างอิง

Cheong Fatt Tze’s Blue Mansion

https://www.cheongfatttzemansion.com/

Elena Koshy. Did good feng shui keep the Blue Mansion thriving in modern-day George Town?

https://www.nst.com.my/lifestyle/sunday-vibes/2021/12/755837/did-good-feng-shui-keep-blue-mansion-thriving-modern-day#google_vignette

Jonathan Kandell. Cheong Fatt Tze Mansion : A Singular Obession Drives a Penang Landmark's Transformation. https://www.architecturaldigest.com/story/hotels-cheong-article-082003

Winnie Chung. The unsung star of ‘Crazy Rich Asians’? The Blue Mansion - and 5 things to know about it.  https://www.scmp.com/magazines/style/travel-food/article/2163858/unsung-star-crazy-rich-asians-blue-mansion-and-5-things

Overseas Chinese in the British Empire : Cheong Fatt Tze

https://overseaschineseinthebritishempire.blogspot.com/search/label/tan%20tay%20po

แกลเลอรี่


ย้อนกลับ