เมื่อปีค.ศ. 2019 ผู้เขียนได้รับทุนให้ไปศึกษาดูงานที่สถานีวิทยุและโทรทัศน์บีบีซี (BBC Broadcasting House) กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ และยังได้รับบัตรสำหรับโดยสารทั่วลอนดอนจากครูสอนเขียนสารคดีท่านหนึ่งที่เพิ่งกลับมาจากลอนดอน ซึ่งบัตรใบนี้ทำให้การเดินทางของผู้เขียนสะดวกมากยิ่งขึ้น
จากในตอนแรกที่ผู้เขียนไม่เชื่อว่าบัตรโดยสารสาธารณะที่มีชื่อว่า บัตรหอยนางรม (Oyster Card) ใบนี้จะสามารถเดินทางโดยขนส่งสาธารณะได้อย่างสะดวกและปลอดภัยมากสำหรับผู้หญิงเดินทางเพียงลำพัง บัตรนี้ใช้โดยสารได้ทั้งรถบัสสองชั้นสีแดงสัญลักษณ์หนึ่งของลอนดอน รถไฟฟ้าใต้ดิน รถราง และเรือ รวมถึงการเดินทางท่องเที่ยวขึ้นเหนือล่องใต้หลายเมือง เช่น ลอนดอน-กรีนิช-บาธ เบ็ดเสร็จด้วยบัตรใบเดียวเท่านั้น ซึ่งจุดประกายความสนใจให้ผู้เขียนอยากค้นหาคำตอบที่พิพิธภัณฑ์การขนส่งลอนดอน (London Transport Museum) พิพิธภัณฑ์ขนาดเล็กที่ซ่อนตัวอยู่ในย่านชุมชนเล็ก ๆ ของลอนดอน
โซนแรกของนิทรรศการนำพาผู้ชมย้อนเวลากลับในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 ขณะนั้นลอนดอนยังเป็นเมืองที่มีประชากรเพียง 1.7 ล้านคน การสัญจรมีเพียงถนนแคบ ๆ เต็มไปด้วยคนเดินเท้า ม้า และเกวียนที่แสนวุ่นวาย ผู้คนอาศัยการเดินทางด้วยการโบกเรียกรถม้า (คล้ายกับรถแท็กซี่ในปัจจุบัน) จนกระทั่งมีนวัตกรรมใหม่เป็นรถบัสม้าลากที่มีเวลาเดินรถตรงเวลา และเก็บค่าโดยสารตามระยะที่จอดรับส่ง ซึ่งรถบัสม้าลากสามารถบรรทุกผู้โดยสารได้จำนวน 22 ที่นั่ง และได้รับความนิยมในกลุ่มคนชนชั้นกลางมากจนทำให้มีผู้โดยสารบางส่วนต้องปีนขึ้นไปนั่งบนหลังคา และปรับเพิ่มบันไดทางขึ้นรถ
ภาพที่ 1 โมเดลจำลองรถบัสม้าโดยสารสองชั้นในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19
ต้นทุนหลักสำคัญของธุรกิจนี้เป็นการดูแลม้า หากไม่มีม้าธุรกิจก็ไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ ทำให้ผู้ประกอบการต้องสรรหาอาหารม้าที่ดีมีคุณประโยชน์จากชนบทเข้ามายังตัวเมืองผ่านแม่น้ำและคลอง ทั้งนี้ผู้เขียนได้ทดลองขึ้นไปนั่งบนรถที่จัดแสดงไว้ ภายในรถรู้สึกได้ถึงความอึดอัดคับแคบและหายใจได้ลำบาก
เมื่อเมืองเติบโตขึ้น มีรถติดเพิ่มมากขึ้น ผู้ประกอบการรายหนึ่งได้เสนอให้มีการสร้างรถไฟใต้ดินเพื่อให้ประชาชนสามารถเดินทางได้เร็วขึ้น แต่การระดมทุนไม่ง่ายนักเนื่องจากเป็นการสร้างรถไฟฟ้าใต้ดินด้วยเทคนิคที่เรียกว่า ‘การขุดหลุมและฝังกลบ’ (Cut and Cover วิธีการเดียวกันกับที่ใช้สร้างรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีน้ำเงินของกรุงเทพฯ) ด้วยลักษณะของอุโมงค์ หรือท่อ ทำให้ชาวลอนดอนตั้งชื่อเล่นให้รถไฟใต้ดินว่า “ทูป” (Tube)

ภาพที่ 2 โมเดลจำลองบรรยากาศการสร้างรถไฟฟ้าด้วยเทคนิคการขุดหลุมและฝังกลบ
ในยุคที่เทคโนโลยีการก่อสร้างยังไม่พัฒนาเท่ายุคปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม นายทุนต่างกังวลว่าหากขุดอุโมงค์แล้วสร้างถนนปิดทับไว้ชั้นบนแล้วถนนเหล่านั้นต้องรองรับรถมากมายในแต่ละวันอาจทำให้ถนนถล่มลงมาได้ ในท้ายที่สุดผู้ประกอบการใช้เวลานานราว 5 ปี จึงระดมทุนสำเร็จ เมื่อสร้างแล้วเสร็จก็เปิดให้บริการสถานีรถไฟใต้ดินแห่งแรกของโลกในปีค.ศ. 1863

ภาพที่ 3 ภาพวาดสถานีเบเกอร์สตรีท (Baker Street) หนึ่งในสถานีรถไฟใต้ดินเก่าแก่ของโลก
หลังจากนั้นก็พบปัญหาว่าหัวรถจักรยังมีแรงขับเคลื่อนไม่พอขนส่งผู้โดยสาร ทั้งยังมีควันไฟโขมงไปทั่วสถานี และในปีค.ศ. 1864 มีการวิพากษ์วิจารณ์ของผู้โดยสารที่ตีพิมพ์ข่าวในคอลัมน์หนังสือพิมพ์เดอะไทม์ (The Times) ของลอนดอน โดยมีผู้โดยสารจากเคนท์ (Kent) กล่าวว่ารถไฟใช้เวลารอนาน เดินทางช้าเหมือนเต่าคลาน ไม่ปลอดภัย หนาวเหน็บ และมีชานชาลาแคบ ช่างน่าเบื่อที่ต้องเดินทางบนสถานีรถไฟเหมือนนรกเช่นนี้
แม้ว่ารถไฟใต้ดินยังสภาพไม่ค่อยดีนัก แต่ชาวลอนดอนมากมายก็ยังวางใจใช้บริการรถไฟใต้ดินอย่างสม่ำเสมอ และอุโมงค์นี้ก็ยังให้บริการเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ต่อมาในปีค.ศ. 1864 รัฐสภาอังกฤษได้ขยายเส้นทางรถไฟใต้ดินกระจายตัวไปทั่วเมืองลอนดอน ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์เริ่มสร้างโครงการที่อยู่อาศัยตามแนวรถไฟ ทำให้ชาวลอนดอนเริ่มขยับขยายย้ายออกไปอยู่นอกเมืองกันมากขึ้น จนกระทั่งปีค.ศ. 1870 เจมส์ เฮนรี เกรธีด (James Henry Greathead) วิศวกรใช้เครื่องเจาะอุโมงค์พร้อมกับสร้างอุโมงค์ยักษ์เพื่อรองรับโครงการก่อสร้างรถไฟใต้ดิน ทำให้การก่อสร้างปลอดภัยขึ้น และในปีค.ศ. 1890 เริ่มมีการพัฒนารถไฟฟ้าคันแรกของโลก

ภาพที่ 4 รายงานของคณะกรรมการขนส่งผู้โดยสารลอนดอน (London Passenger Transport Board)
เมื่อปี 1938 ว่าด้วยการป้องกันทางรถไฟใต้ดินจากน้ำท่วมแม่น้ำเทมส์ หลักฐานทางประวัติศาสตร์
สะท้อนความก้าวหน้าทางวิศวกรรมและการจัดการภัยพิบัติของกรุงลอนดอนในยุคก่อน
สงครามโลกครั้งที่สอง
ลอนดอนมีระบบขนส่งสาธารณะที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งรถบัส รถไฟ รถไฟฟ้า และมีผู้ประกอบการดำเนินการเอกชนหลายราย นำมาสู่ปัญหาการไม่เชื่อมต่อเป็นเครือข่ายเดียวกันทั้งระบบ ในภายหลังจึงมีการรวมศูนย์กิจการขนส่งสาธารณะทั้งหมดให้อยู่ภายใต้องค์การคมนาคมลอนดอน (Transport for London; TfL) ซึ่งกำกับดูแลอยู่ภายใต้นายกเทศมนตรีลอนดอนในปัจจุบัน
นิทรรศการโซนถัดมาเล่าเรื่อง ‘สถานีรถไฟร้าง’ เป็นการปรับเปลี่ยนอารมณ์และบรรยากาศ ทำให้ผู้เขียนรู้สึกว่าน่าตื่นเต้นที่สุดของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ กว่าเกือบ 200 ปีของการก่อสร้าง กรุงลอนดอนเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ผู้คนเริ่มสัญจรในเส้นทางใหม่ ๆ ทำให้สถานีรถไฟบางแห่งถูกทิ้งร้างจนกลายเป็นสถานที่สำคัญในช่วงสงครามโลก โดยสถานีรถไฟร้างเหล่านี้ถูกใช้เป็นฐานทัพลับ ๆ ของอังกฤษอยู่ช่วงหนึ่ง ทั้งใช้ในการขนส่งกองกำลัง ที่ตั้งบริษัทอิเล็กทรอนิกส์ และหลุมหลบภัยของวินสตัน เชอร์ชิลล์ (Sir Winston Churchill) อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ ซึ่งผู้เขียนได้ไปเยี่ยมชมสถานที่จริงด้วย บรรยากาศภายในมีความลึกลับ แต่สามารถใช้งานได้จริง
โซนนี้มีกิจกรรมจำลองประสบการณ์การต่อสายโทรศัพท์จากสถานีรถไฟใต้ดินถึงหน่วยงานความมั่นคงด้วยการฟังเสียงโทรศัพท์แล้วลองต่อสายไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะถูกต้อง ให้ความรู้สึกเสมือนจริงประหนึ่งย้อนเวลากลับไปสู่ยุคสงครามโลก นับเป็นกิจกรรมที่ผู้เขียนรู้สึกว่าสนุกมากที่สุดตลอดการเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ นอกจากนี้ ปัจจุบันองค์การคมนาคมลอนดอนยังจัดกิจกรรมทัวร์เยี่ยมชมสถานีรถไฟร้างให้แก่ผู้สนใจศึกษาอีกด้วย โดยสามารถอ่านรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ https://www.ltmuseum.co.uk/hidden-london

ภาพที่ 5 กิจกรรมทดลองต่อสายโทรศัพท์จากวอร์รูมของวินสตัน เชอร์ชิลล์
ถึงหน่วยงานความมั่นคงในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
แม้ว่าหลังจบสงครามโลกแล้วสถานีรถไฟฟ้าลอนดอนชำรุดทรุดโทรมไปบ้าง ทว่าการใช้บริการรถไฟกลับเพิ่มจำนวนมากกว่าเดิม เช่นเดียวกับรถบัสสองชั้นสีแดงก็มีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกปี ในปัจจุบันองค์การคมนาคมลอนดอนมีการจ้างงานมากที่สุดในลอนดอนด้วยจำนวนรวมพนักงานราว 1 แสนคน และยังคงพัฒนาระบบขนส่งมวลชนให้ทันยุคทันสมัยเพื่อตอบสนองกับความต้องการของชาวลอนดอนอยู่เสมอด้วย ดังเช่น ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา นายกเทศมนตรีกรุงลอนดอนประกาศว่า องค์การคมนาคมลอนดอนได้เปิดให้บริการรถไฟฟ้าใต้ดินในช่วงเวลากลางคืนตามคำเรียกร้องเพื่อให้บริการแก่กลุ่มคนทำงานกลางคืน เช่น ช่าง พนักงานร้านอาหาร และบุคลากรทางการแพทย์สามารถเดินทางกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย
ภายในพิพิธภัณฑ์มีการออกแบบพื้นที่นิทรรศการสำหรับเด็กโดยเฉพาะเพื่อสร้างประสบการณ์เรียนรู้ผ่านสื่อสัมผัส (Hands on) ขนาดจับถนัดมือ เอื้อให้เด็ก ๆ ได้ทดลองขึ้นรถม้า สมมติตัวเองเป็นคนขับรถไฟฟ้า หรือช่างซ่อมรถไฟ ซึ่งอาจช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กคนหนึ่งอยากเป็นวิศวกรผู้เชี่ยวชาญด้านขนส่งสาธารณะของลอนดอนในอนาคตก็เป็นได้
หลังชมพิพิธภัณฑ์เสร็จ ทำให้ผู้เขียนรู้สึกสนใจเรื่องการออกแบบระบบขนส่งมวลชนของลอนดอนมากขึ้น จึงกลับมาศึกษาเพิ่มเติมผ่านหนังสือและบันทึกต่าง ๆ ยิ่งอ่านก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องประวัติศาสตร์ขนส่งมวลชนของลอนดอนสนุกไม่แพ้ชาติใดในโลก ยิ่งไปกว่านั้น ผู้เขียนรู้สึกมีความประทับใจในบรรยากาศการเรียนรู้ในพิพิธภัณฑ์ของอังกฤษ ไม่ใช่เฉพาะพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ทว่าหมายรวมถึงพิพิธภัณฑ์แห่งอื่นที่ผู้เขียนได้เยี่ยมชมด้วย เช่น พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ บริติชมิวเซียม ฯลฯ ในวันหยุดพิพิธภัณฑ์มักเป็นสถานที่ที่ครอบครัวชาวอังกฤษพาลูกหลานมาเรียนรู้เรื่องราวต่าง ๆ โดยผู้ใหญ่จะตั้งใจเล่าเรื่องให้เด็ก ๆ ฟังอย่างใจเย็น และปล่อยให้เด็ก ๆ ได้วิ่งเล่นอย่างเป็นอิสระ
พิพิธภัณฑ์การขนส่งลอนดอน เดินทางสะดวกด้วยรถไฟฟ้า ใช้เวลาประมาณ 2 นาที จากสถานีรถไฟฟ้าโคเวนท์ การ์เดน (Covent Garden) เปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 10.00-18.00 น. และสามารถใช้เวลาชมนิทรรศการจบได้ภายใน 1 ชั่วโมง โดยสามารถศึกษารายละเอียดของพิพิธภัณฑ์เพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์
https://www.ltmuseum.co.uk/visit/museum-guide