Muse Pop Culture
#โรคห่าเป็นเหตุ
Muse Pop Culture
21 พ.ค. 64 2K

ผู้เขียน : Administrator

 

 

ด้วยสถานการณ์เชื้อไวรัสโคโรน่าระบาดในขณะนี้ ที่คุกคามมนุษย์ไปทั่วทุกมุมโลก และสร้างความสูญเสียให้กับเราอย่างที่ไม่คาดคิดนั้น จะเป็นการดีหรือไม่หากจะใช้โอกาสนี้มองย้อนกลับไปในอดีต เพื่อพิจารณาบทเรียน

จากประสบการณ์ความเจ็บปวดที่ผ่านๆ มา เราจะพบว่ามนุษย์ในสมัยโบราณ ล้วนเผชิญกับโรคระบาดร้ายแรงมาโดยตลอด ซึ่งเราขอเรียกโดยเหมารวมว่า “#โรคห่า” อันประกอบไปด้วยโรคเด่นๆ คือ กาฬโรค ฝีดาษ และอหิวาห์

มาดูซิว่า บรรพบุรุษของเราเค้ามีวิธีจัดการอย่างไรบ้างหลายเหตุการณ์คลับคล้ายกับในปัจจุบันอย่างคาดไม่ถึงโรคภัยและความทุกข์ยาก ล้วนเป็นชนวนให้มนุษย์คิดค้นหาทางแก้ไขและ “โรคห่า” จะเป็นเหตุให้เกิดนวัตกรรมเช่นใดได้บ้างมาดูกัน

 

 

▪ ห่าแรกคือ #กาฬโรค (Plague)

ระบาดหนักในสมัยปลายยุคกลางของยุโรป ราวปี ค.ศ. 1350 หรือ 670 ปีที่แล้ว (ราวๆ ปี พ.ศ. ๑๘๙๐ ร่วมสมัยกับอาณาจักรสุโขทัย)

เป็นโรคระบาดครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก ด้วยมีผู้เสียชีวิตมากถึง 75-200 ล้านคน! ในครั้งนั้นประชากรยุโรปหายไปราว 30-60% ซึ่งนับเป็นประชากร 1 ใน 3 ของโลกเลยทีเดียว เรียกการระบาดครั้งนี้ว่า “#กาฬมรณะ” หรือ Black Death

กาฬโรคเกิดขึ้นจากแบคทีเรียสายพันธุ์ Yersinia pestis ที่อยู่ในตัวหมัดหนู หมัดดูดเลือดหนูที่เป็นโรค แล้วแพร่เชื้อต่อไปยังหนูตัวอื่น หรือมายังตัวคน

หนู และหมัดหนู จึงเป็นต้นตอของการระบาด แต่ชาวเมืองในสมัยนั้นกลับเชื่อว่าเป็นการลงทัณฑ์จากพระผู้เป็นเจ้า

▪ เชื้อมาได้อย่างไร?
ก็แพร่ไปตามเส้นทางการค้าในสมัยนั้น ซึ่งก็คือ “เส้นทางสายไหม” หรือ Silk Road นั่นเอง จากเอเชียกลาง สู่ทะเลดำ
เรือสินค้ามุ่งหน้าสู่เมืองคอนสแตนติโนเปิ้ล (หรือปัจจุบันคืออิสตันบูลในตุรกี) แล้วต่อไปยังชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ที่เกาะซิซิลี เจนัว เวนิส ในอิตาลี ก่อนจะแพร่ไปฝรั่งเศส สเปน จนลามไปทั่วทั้งยุโรป ตามท่าเรือสำคัญๆ ต่างๆ โดยมีหนูที่มีเชื้อติดมาด้วยกับเรือ!

หนูที่เป็นพาหะของกาฬโรคนี้ ต้องเป็นหนูสายพันธุ์เอเชียด้วยนะ คือหนูนา (บ้างเรียก หนูดำ หรือหนูเรือ) ส่วนหนูพื้นเมืองของยุโรป คือหนูบ้าน (หนูสีน้ำตาล หรือหนูท่อ) ซึ่งตัวใหญ่กว่านั้น กลับไม่ได้เป็นพาหะ หรือมีเชื้อตัวนี้อยู่เลย ถ้าไม่มีหนูจากเอเชียพลัดหลงเข้ามาในยุโรปตอนนั้น โรคระบาดก็ไม่อาจก่อตัวขึ้นได้

กาฬโรคที่ระบาดหนักในคราวนั้นคือ กาฬโรคที่ต่อมน้ำเหลือง (Bubonic Plague) เริ่มด้วยอาการเหมือนคนเป็นไข้ ต่อมาเกิดการติดเชื้อ ทำให้ต่อมน้ำเหลืองโต บริเวณซอกคอ รักแร้ และขาหนีบ บางรายปลายนิ้วดำ เนื่องจากเนื้อตายจากการขาดเลือด และเสียชีวิตภายใน 1 อาทิตย์ โดยมีอัตราการตายสูงถึง 30% เลยทีเดียว หากกาฬโรคลงปอด ก็จะแพร่จากคนสู่คนได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ผ่านการไอ จาม

นอกจากนี้ ตัวโลน ตัวไร ที่อยู่ตามเสื้อผ้าหรือที่นอนที่สกปรก ยังเป็นพาหะที่นำเชื้อแพร่จากคนป่วย ไปยังคนอื่นๆ ได้รวดเร็วอีกด้วย

ความรู้ทางการแพทย์ในยุคกลางยังไม่เพียงพอต่อการควบคุมโรคได้

 

 

ห่ากาฬโรคยังคอยหลอกหลอนไม่หายไปในยุโรป เกิดการระบาดขึ้นอีกในราวปี ค.ศ. 1665 (พ.ศ. ๒๒๐๘ สมัยสมเด็จพระนารายณ์แห่งอยุธยา) เรียก #กาฬโรคครั้งใหญ่ในลอนดอน (Great Plague of London)

คาดกันว่าเชื้อแพร่เข้ามาสู่เกาะอังกฤษผ่านทางเรือสินค้าขนฝ้ายจากอัมสเตอร์ดัม ระบาดมากจนยอดคนตายค่อยๆ สูงขึ้นจนแตะ 2,000 ศพต่อวัน!
ลอนดอนในขณะนั้นมีประชากรราว 460,000 คน เสียชีวิตจากกาฬโรคไปราว 70,000 คนตามที่มีบันทึกไว้ แต่คาดว่าจะมีมากถึง 100,00 – 200,000 คน เลยทีเดียว! หรือราว ¼ ของเมืองเลยก็ว่าได้ ความสูญเสียทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายในเวลาเพียง 18 เดือน เท่านั้น

มีบันทึกไว้ว่า เกวียนจะขับไปตามตรอกซอกชอย ร้องเรียกให้ชาวเมืองนำศพออกมาจากบ้าน แล้วกองสุมกันไปบนเกวียน เพื่อขนออกไปฝังรวมกันที่นอกเมือง ศพเกลื่อนกลาดถนน กองสุมกัน บ้างปล่อยให้เน่าเปื่อย ส่งกลิ่นเหม็นไปทั่วทั้งพระนคร

▪ เพราะอะไร ทำไมจึงระบาด?
ก็ลอนดอนยามนั้นสกปรกจะตาย มีการเลี้ยงสัตว์กันตามถนน ขี้สัตว์มีอยู่ทั่วไป ถนนก็เต็มไปด้วยโคลนตม ขยะ และของเสีย แต่ละบ้านต่างก็ทิ้งสิ่งปฏิกูลลงบนถนน ส่งกลิ่นเน่าเหม็น สิ่งแวดล้อมแบบนี้แหละที่หนู พาหะของโรค โปรดปรานนักเชียว โดยเฉพาะในย่านคนจนคนงานที่อยู่อย่างแออัดนอกเมือง

▪ คุณหมอปากนก
หมอในสมัยนั้น มีทั้งที่เป็นหมอ เป็นหมอยา (เภสัชกร) และนักบวช โดยจะสวมใส่เสื้อผ้าพิเศษ เป็นเสื้อคลุมตัวยาว สวมหน้ากากที่มีจงอยปากนกขนาดใหญ่ยื่นออกมา เรียกกันว่า หมอปากนก (Dr. Beak)

ภายในจงอยปากอัดกลิ่นลาเวนเดอร์ไว้ ด้วยเชื่อว่ากลิ่นหอมจะช่วยป้องกันเชื้อได้ และคงใช้เพื่อกลบกลิ่นที่คาวคลุ้งไปทั่วเมืองด้วย ชุดดังกล่าวดูไปแล้วก็คงไม่ต่างจากชุด PPE ที่เราเห็นในปัจจุบัน ว่ากันว่า หมอและนักบวชเหล่านี้ มักเป็นด่านหน้าที่ต้องสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย ทำให้ล้มตายไปเป็นจำนวนมาก

▪ รักษาอย่างไร?
นั่นคือเมื่อ 350 ปีที่แล้ว วิทยาการทางการแพทย์ยังล้าหลัง
การรักษาจึงมีตั้งแต่ใช้ทากดูดเลือดผู้ป่วย หรือให้คนไข้สูดดมน้ำส้มสายชู ด้วยเชื่อว่าน้ำส้มสายชูมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรคได้

คนสมัยนั้นยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเชื้อติดมาจากหนู แต่กลับเชื่อว่าอาจมาจากหมาหรือแมว จึงมีมาตรการกักหมาแมวไม่ให้เพ่นพ่านตามถนน หรือให้ลดจำนวนลง เมื่อไม่มีแมวจับหนู แล้วสัตว์พาหะของโรคจะลดจำนวนลงได้อย่างไร?

คนสมัยนั้นยังเชื่อว่าเชื้อโรคเกิดขึ้นจากอากาศที่ไม่บริสุทธิ์ จึงจัดให้มีการก่อกองไฟตามถนน เพื่อช่วยเผาไหม้อากาศให้สะอาดปลอดเชื้อ ด้วยเชื่อว่าควันไฟและความร้อนจะช่วยขับไล่อากาศเสีย อีกสนับสนุนให้เด็กๆ สูบบุหรี่กัน บ้างให้ดมดอกไม้ ด้วยเชื่อว่ากลิ่นหอมจะช่วยบรรเทาอากาศที่ไม่บริสุทธิ์

▪ มาตรการด้านสุขอนามัย
ให้แต่ละบ้านรับผิดชอบทำความสะอาดถนนหน้าบ้านตน ห้ามขายเนื้อสัตว์ หรือผักผลไม้ที่เน่าเสียมีกลิ่น เงินเหรียญให้หย่อนลงในถังที่มีน้ำส้มสายชู เพื่อใช้ฆ่าเชื้อโรค

▪ มีการกักตัว
เรือสินค้าที่จะล่องขึ้นแม่น้ำเทมส์เข้าสู่ลอนดอนได้ ต้องผ่านการกักเรือ 40 วัน บ้านไหนมีคนป่วย ก็ให้กักตัวอยู่ในเคหสถานเป็นเวลา 40 วันเช่นกัน (การกักตัว ที่เราใช้คำว่า “Quarantine” นั้น มาจากภาษาอิตาลี Quarantena ที่แปลว่า 40 วัน ก็มาจากการกักตัวในช่วงกาฬโรคระบาดนี้เอง) ทั้งมีการสร้างโรงพยาบาลสนามเพื่อแยกคนป่วยออกจากคนทั่วไปด้วย

นอกจากนี้ยังมีมาตรการ Social Distancing ด้วยนะเออ
ปิดร้านเหล้า ไม่ให้ชาวเมืองไปสังสรรค์ดื่มกินกัน ห้างร้านก็ปิดให้บริการ ย้ายไปเปิดที่เมืองอื่น ถนนโล่งร้างผู้คน แถมยังห้ามมีการชุมนุม แม้แต่งานศพก็ห้ามจัดอีกด้วย บรรยากาศคุ้นๆ เหมือนเช่นในปัจจุบันมากๆ

▪ แล้วโรคหายไปได้อย่างไร?
ไม่ได้หายจากการรักษา หรือเทคนิคทางการแพทย์แต่ประการใด สันนิษฐานกันว่า หนูบ้าน (หนูสีน้ำตาล) พันธุ์พื้นเมืองของยุโรป ที่ไม่ได้เป็นพาหะของโรค ได้เข้ามาแทนที่หนูท้องขาว (หนูดำ) ของเอเชีย ที่เป็นต้นตอ

 

 

▪ ห่าที่สองคือโรค #ฝีดาษ (Smallpox) หรือไข้ทรพิษ

เกิดขึ้นจากไวรัสที่ชื่อ Variolar
เริ่มด้วยอาการมีไข้สูง ปวดหัว ปวดตัว คลื่นไส้อาเจียน ตามปกติ แล้วจึงค่อยออกผื่น ก่อนที่ผิวหนังจะกลายเป็นตุ่มขึ้นตามตัวและใบหน้า จนกลายเป็นตุ่มหนอง แล้วจึงค่อยๆ แห้งจนตกสะเก็ดไป สภาพน่ากลัวเป็นอย่างมาก หากหายจะทิ้งแผลเป็นไว้เป็นที่ระลึก

โดยจะติดได้จากการสัมผัสผิวหนังที่มีแผล หรือจากละอองของสารคัดหลั่ง เช่นน้ำมูก น้ำลาย ด้วยเชื้อแพร่ไปในอากาศได้ หรือจากการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อในระยะ 1-2 เมตร (คล้ายๆ โควิดอยู่)

ฝีดาษมีระบาดในโลกตั้งแต่ยุคมัมมี่อียิปต์โบราณ เมื่อ 3,000 ปีก่อนแล้ว ต่อมาระบาดหนักในอาณาจักรโรมัน ที่ปลิดชีวิตชาวโรมให้สิ้นลงร่วม 5-10 ล้านคน หลังจากนั้นยุโรปก็ไม่เคยว่างเว้นจากการระบาดของฝีดาษเลย

เมื่อสเปนเดินทางไปสำรวจ “โลกใหม่” หรือทวีปอเมริกาเหนือ ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 นั้น ก็ได้นำโรคร้ายนี้ไปแพร่ยังชนพื้นเมืองอีกด้วย เกิดเป็นโรคระบาดใหญ่ มีคนตายนับแสน ส่งผลให้อาณาจักรแอซเท็ค (Aztec) อันรุ่งโรจน์ในเม็กซิโก ต้องล่มสลายพ่ายแพ้ให้กับสเปนในเวลาไม่นาน

ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น
สมเด็จพระบรมราชาหน่อพุทธางกูร แห่งอยุธยา ก็ประชวรและสิ้นพระชนม์จากไข้ทรพิษ (หรือฝีดาษ) ด้วยเช่นกัน ในปี พ.ศ. ๒๐๗๖ (ค.ศ. 1533) อันเป็นช่วงเวลาภายหลังจากที่โปรตุเกสได้เดินทางเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีทางการค้ากับอยุธยาแล้ว

ล่วงถึงสมัยพระเพทราชา ในราวปี พ.ศ. ๒๒๓๘ (ค.ศ. 1695) เกิดไข้ “#ธอระพิดหิดฝี” ระบาดขึ้น มีคนตายมากถึง 80,000 คน โดยมีมิชชันนารีฝรั่งเป็นผู้รักษาโดยใช้การถ่ายเลือด เพื่อระบายพิษออกจากร่างกาย ซึ่งเป็นเทคนิคที่เป็นที่นิยมในยุโรปในสมัยนั้น

 

จวบจนคริศต์ศตวรรษที่ 18

โรคฝีดาษกลับมาระบาดหนักอีกระลอกในยุโรป มีคนตายมากถึง 400,000 คน ภายในปีเดียว ที่รอดมาบ้างก็อาจตาบอดได้ แต่วิกฤติครั้งนี้กลับสร้างนวัตกรรมใหม่ให้กับวงการแพทย์ ด้วยมีการค้นพบ “#วัคซีน” ขึ้นเป็นครั้งแรกของโลก!!!

ในปี ค.ศ. 1796 (หรือ พ.ศ. ๒๓๓๙ สมัย ร.1) แพทย์ชาวอังกฤษที่ชื่อ เอดเวิร์ด เจนเนอร์ (Edward Jenner) คือผู้คิดค้นการ “#ปลูกฝี” ขึ้นมา

โดยนำเชื้อฝีดาษวัว (Cowpox) ซึ่งเป็นเชื้อที่ไม่รุนแรง มาใช้เป็นสารตั้งต้นเพื่อช่วยกระตุ้นให้ร่างกายมนุษย์สร้างภูมิต้านทานสำหรับฝีดาษคน (Smallpox) (ด้วยคำว่า “วัว” ในภาษาละตินนั้น เรียกกันว่า “Vacca” จึงนำมาใช้ตั้งชื่อประดิษฐกรรมชนิดใหม่ที่ทำจากวัวว่า Vaccine หรือวัคซีน เพื่อเป็นเกียรติให้กับนาง)

โดยการใช้เข็มซึ่งมีเชื้อฝีดาษวัวอยู่ สะกิดเข้าที่ต้นแขนของผู้ที่จะรับวัคซีน เพื่อทำให้ผิวหนังเกิดแผล เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกาย แขนจะบวมแดง ปวด มีไข้ต่ำๆ และร่างกายจะค่อยๆ สร้างภูมิคุ้มกัน การปลูกฝีจะทิ้งร่องรอยเป็นแผลเป็นเล็กๆ ไว้ที่ต้นแขน หลายคนคงมี ลองสำรวจดูสิว่าเรามีรอย “ปลูกฝี” มั้ย?

ปัจจุบัน องค์การอนามัยโลกได้ประกาศยกเลิกการฉีดวัคซีน หรือปลูกฝีนี้แล้ว เยาวรุ่นจึงปราศจากแผลเป็นที่ต้นแขน ฝีดาษยังถือเป็นโรคเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่สูญสิ้นไปจากโลกนี้แล้ว โดยไม่มีคนเป็นฝีดาษมานานกว่า 40 ปีแล้ว

 

 

▪ ห่าที่สาม คือ #อหิวาตกโรค (Cholera)

โรคขี้แตกอ้วกแตกที่เราคุ้นเคยดี
มีการระบาดในประเทศไทยหลากหลายหนมาก แต่ที่เป็นตำนานให้พูดถึงคือห่าลงปีมะโรง พ.ศ. ๒๓๖๓ ในสมัย ร. 2 นี่เอง

ในช่วงฤดูร้อนปีนั้น อหิวาต์ หรือที่สมัยนั้นเรียกว่า “#ไข้ป่วง” ระบาดไปทั่วพระนคร ผู้คนล้มตายมากถึง 30,000 คน เผากันแทบไม่ทัน ศพกองสุมกันที่วัดสระเกศ จนต้องปลงด้วยนก (ให้แร้งกามาจิกกิน) จนเกิดคำว่า “แร้งวัดสระเกศ”

ส่วนวัดที่ปากคลองบางลำพูนั้น
ศพก็กองสุมกัน บ้างลอยอืดมาตามน้ำ เป็นที่สังเวชยิ่งนัก จึงเป็นที่มาของวัด “สังเวชวิศยาราม” จวบจนทุกวันนี้

คนในสมัยนั้นเชื่อกันว่ามีสาเหตุมาจากผี
ผีโกรธที่ไปเอาศิลาใหญ่ในทะเลมาก่อเป็นเขาในวังหลวง เราจึงต้องทำพิธีไล่ผีกัน! โดยประกอบเป็นพระราชพิธีชื่อ “#อาพาธพินาศ” ขึ้น ภายในพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง

มีการยิงปืนใหญ่ตลอดคืนรอบพระนคร ให้ผีกลัว และอัญเชิญพระแก้วมรกตมาแห่รอบเมือง อีกนิมนต์สมเด็จพระสังฆราช และพระอีก 500 รูป มาสวดพระปริตรไล่ผี (คุ้นๆ)

ร. 2 และพระบรมวงศานุวงศ์ ยังร่วมรักษาศีล ปล่อยนักโทษ (คุ้นๆ อีก) ซื้อสัตว์ที่กำลังจะถูกฆ่าในตลาด อย่างปลา แล้วปล่อยไปเป็นพระราชกุศล ทั้งห้ามไม่ให้อาณาราษฎรฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และให้รักษาศีลอยู่กับบ้าน (คือการกักโรคนั่นเอง)
สรุปคือแก้ไขโดยใช้สายมูเข้าสู้นั่นเอง

เมื่อเสร็จสิ้นพระราชพิธี “อาพาธพินาศ” จึ่งเกิดฝนตกลงมาห่าใหญ่ อหิวาต์ระบาดอยู่ราว 15 วัน จึงค่อยหายไป เรียกได้ว่า ฝนห่าใหญ่ไล่โรคห่า

พวกเราที่เกิดในยุคดิจิทัลคิดว่าพิธีกรรม และการทำบุญดังกล่าว ช่วยลดการระบาดของโรคได้จริงมั้ย?
หรือเป็นเพียงการสร้างขวัญกำลังใจ?

 

 

โรคห่า หรือ #อหิวาต์ ยังคงหลอกหลอนมาจนถึง ร. 5 และระบาดถึง 2 ครั้ง ติดๆ กันเสียด้วย

แต่พอถึงยุค “สยามใหม่” นี่เอง ที่ความก้าวหน้าจากโลกตะวันตกเข้ามามีบทบาทแทนพิธีกรรมความเชื่ออย่างในยุคจารีต ความเปลี่ยนแปลงใหญ่ในการสาธารณสุขของสยามจึงบังเกิดขึ้น

▪ ปีแรก พ.ศ. ๒๔๑๖ เมื่อต้นรัชกาล ไม่มีแล้วพิธีไล่ผี พิธีสวด
ด้วย ร. 5 ทรงเชื่อว่า “การพระราชพิธีไม่ได้มีประโยชน์อันใด” (ทรงฟาด) เพราะโรคไม่ได้เกิดจากผี แต่เกิดจากสภาพแวดล้อมที่สกปรก และพฤติกรรมการกินอาหารของมนุษย์ที่ไม่ถูกสุขอนามัย ตามแนวคิดแบบตะวันตก

ความก้าวหน้าทางการแพทย์ของคริสต์ศตวรรษที่ 19 ทำให้รู้ว่าเชื้อโรคคือต้นเหตุของโรคร้าย อหิวาต์เกิดขึ้นจากเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อ Vibrio cholerae

ลักษณะอาการคือถ่ายท้องเหลวไม่หยุด อาเจียนจนหมดแรง เสียน้ำมากจนตายได้ในที่สุด โดยพบว่าอุจจาระเป็นแหล่งแพร่เชื้อ และมีแมลงวันเป็นพาหะ จึงไม่แปลกที่อหิวาต์จะระบาดอยู่บ่อยครั้งในสยาม ด้วยสมัยนั้น “ไปทุ่งไปท่า” ขี้ลงน้ำกันเป็นเรื่องปกตินั่นเอง

▪ การรักษา
ตั้งโอสถศาลาเพื่อแจกจ่ายยาตามชุมชน โดยใช้ #ยาฝรั่ง เป็นหลัก นั่นคือหัวแอลกอฮอล์ ผสมกับการบูร ที่เรียกว่าน้ำการบูร (ทิงเจอร์การบูร) สำหรับเป็นยาหยดในน้ำ เพื่อฆ่าเชื้อโรค ส่วนน้ำดื่มให้ต้มให้สุก

▪ หนที่สอง ในอีก 8 ปีต่อมาคือปี พ.ศ. ๒๔๒๔ มีการแจกยาฝรั่งเช่นเคย พร้อมกับตั้งโรงพยาบาลสนาม ว่ากันว่าห้างขายยา สยามดิสเป็นซารี ของเภสัชกรชาวเยอรมัน (ปัจจุบันคือ บี. กริม) เป็นผู้จัดหายา และอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้ จนโรคสงบลงได้ภายในเวลา 6 สัปดาห์

เหตุการณ์นี้เองที่ช่วยเบิกเนตรให้ผู้นำในสมัยนั้นเห็นว่า วิทยาการทางการแพทย์แผนปัจจุบันแบบตะวันตกได้ #Saveสยาม จากโรคร้ายไว้ได้อย่างทันท่วงที จึงมีพระราชดำริให้ตั้งโรงพยาบาลขึ้นเป็นการถาวร ซึ่งก็คือ “ศิริราชพยาบาล” นั่นเอง เปิดในปี พ.ศ. ๒๔๓๑

พร้อมกันนี้ยังได้ “จัดระเบียบ” พระนครเสียใหม่ให้สะอาดเรียบร้อย กำจัดพาหะของโรคอย่างแมลงวัน และหนู เริ่มจัดการด้านสุขาภิบาล การกำจัดของเสียและสิ่งปฏิกูล
เริ่มมี “ชักโครก” ใช้กัน (ถึงแม้ช่วงแรกจะมีใช้กันในหมู่ชนชั้นสูงเท่านั้นก็ตาม) และกำเนิดประปาเพื่อให้ประชาชนมีน้ำสะอาดใช้ 

 

 

▪ โรคห่าอีกชนิดก็คือ #ไข้หวัดใหญ่สเปน (Spanish Flu)

ที่ระบาดอย่างหนักมากในช่วงปี ค.ศ. 1918 หรือราว 100 ปีที่แล้ว ก่อน #สงครามโลกครั้งที่1 จะสงบลงเพียงเล็กน้อย

ระบาดอยู่นานกว่า 18 เดือน และมีผู้เสียชีวิตจำนวนมากถึงราว 20-50 ล้านคนเลยทีเดียว (อเมริกาตาย 5 แสนคน / อังกฤษ 2.5 แสนคน / ส่วนที่อินเดียพุ่งไปถึง 12.5-20 ล้านคน!) (เปรียบเทียบกับยอดผู้เสียชีวิตจากโรคโควิดทั้งหมดในปัจจุบันที่ 3.4 ล้านคนแล้ว โควิดของเรากลายเป็นเด็กๆ ไปเลย) อีกทั้งมีผู้ติดเชื้อทั่วโลกร่วม 500 ล้านคน หรือ 1/3 ของประชากรโลกเมื่อร้อยปีที่แล้ว

เคสแรกพบในพ่อครัวภายในค่ายทหาร รัฐแคนซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา ก่อนจะแพร่ลามไปทั่วประเทศในเวลาไม่นาน เมื่ออเมริกาส่งทหารเข้าร่วมรบในสงครามที่ยุโรป เชื้อจึงแพร่ไปกับกองทัพเข้าสู่ฝรั่งเศส เยอรมัน อังกฤษ อิตาลี และสเปน (ไข้หวัดใหญ่สเปน ไม่ได้ระบาดรุนแรงที่สเปนอย่างที่เราเข้าใจ และสเปนก็ไม่ใช่ประเทศแรกที่มีการระบาดด้วย หากแต่เป็นประเทศแรกที่มีข่าวการระบาดออกมา จึงได้รับเกียรติให้ใช้เป็นชื่อของโรคนี้)

สนามรบกลายเป็นแหล่งเพาะเชื้อชั้นดี ด้วยทหารในแนวหน้าคือคนที่มีโอกาสติดเชื้อมากที่สุด
¾ ของทหารฝรั่งเศสติดเชื้อ
½ ของทหารอังกฤษ และ
ทหารเยอรมันติดเชื้อปาเข้าไปถึง 900,000 นาย

เรื่องกลับเลวร้ายลงเมื่อทหารที่ป่วยหนัก เชื้อแรง ถูกส่งตัวไปรักษาในโรงพยาบาลสนามที่แออัด ช่วยขยายเชื้อต่อไปได้อีกเท่าทวี และเมื่อสงครามสิ้นสุดลง รั้วของชาติเหล่านี้ก็นำเชื้อกลับไปเป็นของฝากยังบ้านเกิดอีกด้วย

ไข้หวัดใหญ่สเปนจึงคร่าชีวิตผู้คนนอกสนามรบไปมากกว่าผู้เสียชีวิตในสนามรบ ถึง 5-10 เท่า

แล้วรู้หรือไม่ว่าในสมัยนั้นก็มีมาตรการที่ออกมาเพื่อยับยั้งการระบาดของโรคด้วย เป็นสิ่งที่เราในยุคนี้คุ้นเคยกันดี นั่นก็คือ Social Distancing นั่นเอง

ในอเมริกา มีการ “ปิดเมือง” หรือล็อกดาวน์
ปิดโรงเรียน ปิดโรงหนัง โรงละคร สนามกีฬา สนามเด็กเล่น ห้องสมุด ปิดผับบาร์ ห้ามการชุมนุมที่มีคนเกิน 20 คน และจำกัดการเดินทางด้วยการขนส่งสาธารณะ
คุ้นๆ มั้ย? ไม่ต่างจากประกาศของ กทม. ในยุคนี้เลย

นอกจากนี้ยังมีการบังคับให้ใส่แมสก์ หรือหน้ากากอนามัยปิดจมูก ไม่ใส่แมสก์ ขึ้นรถเมล์ไม่ได้นะเออ (คุ้นๆ อีกแล้ว)

ทั้งบริษัทห้างร้านก็เหลื่อมเวลาเปิดกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้มีผู้โดยสารหนาแน่นยามเดินทางในรถไฟใต้ดินในชั่วโมงเร่งด่วน

 

 

ในขณะที่ ไข้หวัดใหญ่สเปน ระบาดอยู่ในทวีปยุโรปนั้น ประเทศไทย ตรงกับปี พ.ศ. ๒๔๖๑-๖๒ ในสมัย ร. 6 เป็นช่วงเดียวกับที่สยามส่ง #ทหารอาสา ไปร่วมรบใน #สงครามโลกครั้งที่1 ด้วย และไม่มีทหารสยามที่เสียชีวิตในสมรภูมิเลยแม้แต่คนเดียว แต่มี 19 นายที่ตายนอกสนามรบ

โดยเป็น 10 นายที่ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สเปน และตายด้วย “นิวมอเนีย” (ปอดบวม) ที่โรงพยาบาล ไข้หวัดใหญ่สเปนเกิดจากเชื้อไวรัสที่ชื่อ H1N1 influenza A virus

เมื่อผู้ป่วยร่างกายอ่อนแอ จึงเกิดโรคแทรกซ้อนเป็นปอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียขึ้นได้ คนไข้ส่วนใหญ่จึงมักตายจากปอดบวมกัน ดังเช่นทหารอาสาชาวสยามทั้ง 10 นาย นั้น

ทหารที่เหลือที่รอดชีวิตกลับมา เมื่อถึงแผ่นดินเกิดแล้ว ก็เอาเชื้อมาแพร่ในสยามต่อ เกิดเป็นคลัสเตอร์ใหม่ ที่ไม่ใช่คลัสเตอร์สนามมวย หรือคลัสเตอร์ทองหล่อ แต่เป็นคลัสเตอร์ “ทหารผ่านศึก”

ขณะนั้นสยามมีประชากรทั้งสิ้น 9 ล้านคน ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ไป 2.3 ล้านคน (อัตราติดเชื้อสูงถึง 36.6%) ตายไป 80,000 คน มณฑลปราจีณ ติดเชื้อมากสุด ขณะที่มณฑลพายัพ ตายเยอะสุด

การระบาดลดลง เนื่องจากคนเริ่มมีภูมิคุ้มกันแล้ว หรือที่ศัพท์สมัยนี้เรียกว่า Herd Immunity และเชื้อไวรัสเองก็มีการกลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์ที่ไม่รุนแรง โดยที่ในขณะนั้น ไม่มียารักษาโดยเฉพาะแต่เพียงอย่างใด ด้วยยังไม่มียาปฏิชีวนะ (ยาเพนิซิลลิน ค้นพบได้หลังจากนี้ คือในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2) และวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ก็เพิ่งผลิตได้ภายหลัง ในปี 1940 มานี่เอง

 

แกลเลอรี่


ย้อนกลับ