คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๕๔๔/๒๔๙๗
คลังภาพเก่า
27 ต.ค. 58 3K

ผู้เขียน : Administrator

เรื่อง ประทุษร้ายต่อพระองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

โจทก์ จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ลงวันที่๒๘เดือนตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๙๖ โจทก์ฟ้องว่า
นายเฉลียว ปทุมรส จำเลยที่ ๑
นายชิต สิงหเสนี จำเลยที่ ๒
นายบุศย์ ปัทมศริน จำเลยที่ ๓

กับพวกที่ยังหลบหนีอยู่ บังอาจสมคบกันกระทำการประทุษร้ายต่อพระองค์พระมหากษัตริย์ในรัชกาลที่ ๘ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล ต่างกรรมต่างวาระกัน คือ ก.เมื่อระหว่างวันที่ ๙ เมษายน ๒๔๘๙ ถึงวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๔๘๙
จำเลยทั้งสามนี้กับพรรคพวกสมคบกันคิดการตระเตรียมและกระทำการปลงพระชนม์พระองค์ท่าน โดยประชุมปรึกษาแผนการตกลงกันในอันที่จะกระทำการปลงพระชนม์ และให้ผู้ใดรับหน้าที่ร่วมกันไปกระทำการปลงพระชนม์แล้วจำเลยทั้งสามช่วยปกปิดไม่นำความไปร้องเรียนเหตุเกิดที่ ตำบลชนะสงคราม ท้องที่ อำเภอพระนคร จังหวัดพระนคร ข.วันที่ ๙ มิถุนายน ๒๔๘๔ เวลากลางวัน นายชิต และนายบุศย์ จำเลย กับพรรคพวกสมคบกันกระทำการปลงพระชนม์พระองค์ท่านโดยใช้อาวุธปืนยิงหนึ่งนัด ถูกพระนลาฏ ทะลุเบื้องหลังพระเศียรในขณะบรรทมอยู่บนพระที่เป็นเหตุให้เสด็จสวรรคตทันทีขณะที่จำเลยกับพวกจะได้กระทำการปลงพระชนม์ดั่งกล่าว นายชิต นายบุศย์ได้ร่วมรู้อยู่ในที่นั้นด้วยจงใจไม่ถวายความพิทักษ์ตามหน้าที่มหาดเล็กห้องพระบรรทมกลับบังอาจเป็นใจช่วยเหลือให้ช่องโอกาสแก่พรรคพวก อันเป็นการอุปการะในการประทุษร้ายนั้นได้สำเร็จ และปกปิดไม่นำความไปร้องเรียนเหตุเกิด ณ พระที่นั่งบรมพิมานในพระบรมมหาราชวัง ค.วันที่ ๙ มิถุนายน ๒๔๘๙ เวลากลางวัน ภายหลังที่ถูกปลงพระชนม์แล้วนายชิตบังอาจเพทุบายเอาปลอกกระสุนปืนหนึ่งปลอกส่งให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจโดยกล่าวเท็จว่าเก็บได้ใกล้พระแท่นบรรทมในขณะถูกประทุษร้ายประสงค์จะให้เจ้าหน้าที่หลงเชื่อไปในทางที่เป็นเท็จว่าเป็นปลอกกระสุนปืนที่ได้ยิงในวันนั้นจากปืนกระบอกหนึ่งซึ่งวางอยู่ใกล้พระกรเบื้องซ้ายและเพื่อจะให้หลงเชื่อต่อไปว่าทรงใช้ปืนกระบอกนั้นประทุษร้ายพระองค์ท่านเองความจริงปืนกระบอกนั้นหาได้ใช้ยิงในวันนั้นไม่และไม่ใช่กระบอกที่ใช้ประทุษร้าย ทั้งนี้โดยนายชิตรู้อยู่แล้วว่าเป็นเท็จ ด้วยเจตนาช่วยพรรคพวกให้พ้นอาญาและปกปิดมิให้ความปรากฏว่าได้มีผู้ประทุษร้ายพระองค์ท่านเหตุเกิด ณ พระที่นั่งบรมพิมาน
ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา ๙๗ – ๑๕๔ – ๖๓ – ๖๔ – ๗๐ และ ๗0 จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ และว่าเหตุที่จำเลยถูกกล่าวหานี้ เพราะมีบุคคลบางจำพวกฉวยโอกาสการสวรรคตเล่นเป็นเกมการเมือง เพื่อทำลายล้างบุคคลอื่น มีอาทิ เช่น นายปรีดีพนมยงค์ นายเรือเอกวัชรชัย ชัยสิทธิเวช นายเฉลียว ปทุมรส และพลอยไปถึง นายชิต นายบุศย์

ด้วยศาลอาญาพิจารณาพิพากษาว่า พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลเสด็จสวรรคต โดยถูกผู้ร้ายลอบปลงพระชนม์นายชิต รู้เห็นร่วมมือกับผู้ร้ายรายนี้ ด้วยความผิดของนายชิตต้องด้วยกฎหมายลักษณะอาญามาตรา ๙๗ ตอน ๒ ส่วนข้อขอให้ลงโทษนายชิตตามมาตรา ๑๕๔ ในข้อหาว่า สับเปลี่ยนปลอกกระสุนของกลางโดยกล่าวเท็จแก่เจ้าหน้าที่เพื่อช่วยผู้กระทำผิดนั้นทางพิจารณาก็ได้ความสม แต่เป็นความผิดที่เกลื่อนกลืนอยู่ในความผิดประธานข้างต้น ไม่พึงแยกกระทงลงโทษอีกได้ จึ่งลงโทษนายชิต จำเลย ตามมาตรา ๙๗ ตอน ๒ บทเดียว ให้ประหารชีวิต

ส่วนนายเฉลียวและนายบุศย์จำเลย คดียังไม่มีหลักฐานให้พอฟังว่าได้ร่วมกระทำผิดด้วยให้ยกฟ้อง นายชิต จำเลย อุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ขอให้ลงโทษจำเลยอีกสองคนด้วย ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ ลงโทษประหารชีวิต นายบุศย์ จำเลย ตามมาตรา ๙๗ ตอน ๒ ด้วยอีกคนหนึ่ง ส่วนนายชิต นายเฉลียว จำเลย คงยืนตามเดิม แต่มีความเห็นแย้งของผู้พิพากษานายหนึ่ง ว่า ควรยกฟ้อง ปล่อยจำเลยทั้งสามคน โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษ นายเฉลียว จำเลยโดย อธิบดีกรมอัยการรับรอง นายชิต นายบุศย์ จำเลยฎีกา ขอให้ยกฟ้องศาลฎีกานั่งฟัง คำแถลงของฝ่ายโจทก์ จำเลยตรวจสำนวนประชุมปรึกษาคดีแล้ว ตามคำแถลงของจำเลย เป็นใจความว่า

การแต่งตั้งรัฐบาลเนื่องจากการกระทำรัฐประหารเป็นการไม่ชอบ ฉะนั้นการสอบสวนตลอดจนการฟ้องร้องจำเลยในคดีนี้ จึงเป็นการไม่ชอบด้วยนั้นเห็นว่า ความข้อนี้ศาลล่างทั้งสองได้วินิจฉัยไว้แล้วว่าโจทก์ฟ้องคดีได้ และศาลนี้ก็ได้เคยวินิจฉัยไว้ใน คำพิพากษาฎีกาที่ ๔๕/๒๔๙๖ คดีระหว่างนายทองเย็น หลีละเมียร โจทก์กระทรวงการคลังฯ จำเลยว่ารัฐบาลที่ตั้งขึ้นภายหลังรัฐประหารเป็นรัฐบาลที่ชอบ ฉะนั้นโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้ได้ จะได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงต่อไปทางพิจารณาได้ความว่า พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พร้อมด้วยสมเด็จพระราชชนนี และสมเด็จพระราชอนุชา เสด็จกลับประเทศไทย เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๔๘๘ ประทับ ณ พระที่นั่งบรมพิมาน พระองค์ท่านประทับอยู่ทางริมฝ่ายด้านตะวันออกส่วนอีกสองพระองค์ประทับทางริมฝ่ายด้านตะวันตกนายชิตและนายบุศย์เป็นมหาดเล็กประจำห้องพระบรรทมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นายเฉลียวเป็นราชเลขานุการในพระองค์และเป็นข้าราชการผู้ใหญ่ประจำพระองค์ด้วยอีกตำแหน่งหนึ่ง นายปรีดีพ้นตำแหน่งหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ แล้วมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ยกย่องนายปรีดีไว้ในฐานะรัฐบุรุษอาวุโส มีหน้าที่รับปรึกษาราชการแผ่นดินต่อมาได้เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสืบต่อจาก นายควง อภัยวงศ์ ตามประกาศพระบรมราชโองการลง วันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๔๘๙
เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จนิวัติสู่พระนครแล้ว ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานาประการ เพื่อให้บังเกิดผลดีแก่ประเทศชาติ พระองค์ทรงพระราชอุตสาหะเสด็จไปในที่ต่างๆ ทั้งในกรุงและต่างจังหวัด เช่น เมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๔๘๘ เสด็จประพาสจังหวัดชลบุรี พร้อมด้วยนายปรีดี พลโทพระศราภัยสฤษดิการสมุหราชองค์รักษ์นายเฉลียวนายชิตทอดพระเนตรการแสดงอาวุธของคณะพลพรรคเสรีไทย มีผู้น้อมเกล้าถวายอาวุธปืนกับของอื่นที่พลพรรคเสรีไทยใช้อยู่ ทรงโปรดการหัดยิงปืนชนิดใหม่ๆ ที่มีผู้น้อมเกล้าถวาย ต่อมาเสด็จเยี่ยมเยียนราษฎรตามจังหวัดต่างๆ หลายแห่ง ทรงพระราชปฏิสันถารแก่ราษฎรที่มาเฝ้า ราษฎรถวายสิ่งของแม้เล็กน้อยก็ทรงยินดีรับ และโปรดเกล้าฯ พระราชทานเงินก้นถุงให้เป็นสิริมงคล ผู้ใดทุกข์ร้อนก็ทรงรับสั่งให้เจ้าหน้าที่ช่วยเหลือ
ครั้งสุดท้ายเสด็จประพาสท้องสำเพ็ง เมื่อวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๔๘๙ ในด้านเกี่ยวกับการบริหารงานของประเทศชาติ พระองค์ทรงสนพระราชหฤทัยที่จะทรงทราบและศึกษาโปรดเกล้าฯ ให้เชิญนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ปลัดกระทรวง และอธิบดีผลัดเปลี่ยนกันเข้าเฝ้าเพื่อเป็นโอกาสที่จะทรงซักถามกิจการในหน้าที่และแลกเปลี่ยนความรู้ในทางพระพุทธศาสนาก็ทรงพระราชทานพระราชทรัพย์บำรุงวัดวาอารามและตั้งพระราชหฤทัยจะทรงผนวช แม้ทางศาสนาอื่นก็อยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์
ยิ่งนานวัน พระองค์ก็ยิ่งทรงได้รับความนิยม เป็นมิ่งขวัญที่เคารพสักการะอย่างประทับใจด้วยความชื่นชมโสมนัสของบรรดาข้าทูลละอองธุลีพระบาทและพสกนิกรโดยที่มีพระราชประสงค์จะทรงกลับไปศึกษาต่อยังประเทศสวิสเซอร์แลนด์อีก กำหนดเสร็จวันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๔๘๙ ตามที่โหรถวายพระฤกษ์
ในโอกาสนี้ รัฐบาลแห่งสหรัฐอเมริกาและอังกฤษได้กราบทูลอัญเชิญเสด็จพระราชดำเนินไปยังประเทศนั้น ๆ ด้วย

วันที่ ๘ มิถุนายน ๒๔๘๙ ทรงพระประชวรเกี่ยวกับพระนาภีงดเสด็จงานพระราชทานเพลิงพระศพ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภาและงานที่กรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์เวลา ๑๗:๐๐ นาฬิกา หลวงนิตยเวชวิศิษฐ์ถวายตรวจพระวรกาย ปรากฏมีพระอาการไข้เล็กน้อย ขอให้สมเด็จพระราชชนนีถวายพระโอสถโนแวลยิน แก้ไข้ หนึ่งเม็ด ตอนค่ำถวายสวนล้างพระนาภีถวายยาอ็อปตาลิดอน แก้เมื่อยและตอนเช้าถวายน้ำมันละหุ่งอีกครั้งหนึ่งในวันที่ ๘ นี้ พระอาการไม่มากเสด็จไปเสวยพระกระยาหารเช้าและกลางวันอย่างปกติส่วนพรกระยาหารค่ำสมเด็จพระราชชนนีรับสั่งให้จัดมาเสวยร่วมที่ห้องทรงพระสำราญ สมเด็จพระราชชนนีได้เฝ้าถวายพระโอสถและอื่นๆ อยู่จนเสด็จเข้าที่พระบรรทม เมื่อเวลาประมาณ ๒๑:๐๐ นาฬิกา แล้วจึ่งเสด็จจากไป

รุ่งขึ้นวันอาทิตย์ ที่ ๙ มิถุนายน ๒๔๘๙

เวลาราว ๖:๐๐ นาฬิกา สมเด็จพระราชชนนีเสด็จไปปลุกบรรทม รับสั่งถามว่า หลับดีไหม ทรงตอบว่าหลับดี สมเด็จพระราชชนนีถวายน้ำมันละหุ่งผสมกับบรั่นดี แล้วทรงรู้สึกว่ายังใคร่จะทรงบรรทมต่อ จึ่งถวายโอกาสโดยรีบเสด็จกลับไป ขณะนั้น มหาดเล็กห้องพระบรรทมยังไม่มีใครมา

ต่อเวลา ๗:๐๐ นาฬิกาเศษ นายบุศย์ เวรประจำ จึ่งมา และนั่งเฝ้าอยู่ตามหน้าที่ที่ระเบียงหน้าพระทวารห้องแต่งพระองค์ ซึ่งเป็นทางเข้าสู่ห้องพระบรรทม
ครั้นเวลา ๘:๐๐ นาฬิกาเศษ นายชิตได้มานั่งอยู่คู่กับนายบุศย์

เวลาราว ๙:๐๐ นาฬิกา สมเด็จพระราชอนุชาเสด็จไปที่ระเบียงหน้าพระทวารห้องแต่งพระองค์ รับสั่งถามนายชิต นายบุศย์ว่า ในหลวงมีพระอาการเป็นอย่างไร ทรงได้รับคำตอบว่าทรงสบายดีขึ้น เสด็จเข้าห้องสรงแล้ว สมเด็จพระราชอนุชาก็เสด็จกลับยังห้องพระบรรทมของพระองค์

ต่อนั้นมาเวลาไม่ถึง ๙:๐๐ นาฬิกา มีเสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัดภายในห้องพระบรรทม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขณะนั้นสมเด็จพระราชชนนีจะเสด็จออกจากห้องบรรทมของพระองค์ไปเสวยพระกระยาหารเช้านายชิตวิ่งไปกราบทูลว่า"ในหลวงยิงพระองค์"สมเด็จพระราชชนนีก็ทรงวิ่งไปทันทีนายชิต นางสาวเนื่องจินตดุลย์ สมเด็จพระราชอนุชา และนางสาวจรูญตะละภัฏ ตามติดๆ เข้าไปในห้องพระบรรทมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขณะนั้น ปรากฏว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรรทมหงายบนพระแท่นพระเศียรหนุนพระเขนยดุจบรรทมหลับ อย่างปกติมีผ้าดอกคลุมพระองค์อยู่เรียบตั้งแต่เหนือพระอุระตลอดลงไปจนถึงข้อพระบาท กึ่งกลางของผ้าอยู่กึ่งกลางของพระองค์พอดีชายผ้าทั้งสองข้างล้ำพระองค์ออกมาพอ ๆ กันผ้าลาดพระยี่ภู่ปูอยู่เรียบดีพระเขนยคงอยู่ในที่ตามปกติ มีพระโลหิตไหลโทรมพระพักตร์ลงมาที่พระเขนยและผ้าลาดพระยี่ภู่ พระเศียรตะแคงไปทางด้านขวาเล็กน้อย เหนือพระโขนงซ้ายมีแผลกระสุนปืนหนังฉีกเป็นแฉกคล้ายเครื่องหมายคูณกว้างยาวประมาณสี่เซนติเมตร พระเนตรทั้งสองหลับสนิท ไม่ได้ทรงฉลองพระเนตร ฉลองพระเนตรวางอยู่บนโต๊ะเล็กข้างประแท่น พระเกศาแสกเรียบอยู่ในรูปที่เคยทรง พระโอษฐ์ปิด พระกรทั้งสองเหยียดทอดทับนอกผ้าคลุมพระองค์แนบพระวรกายตามปกติ พระหัตถ์ทั้งสองแบอยู่ในท่าธรรมดาพระบาททั้งสองเหยียดทอดชิดกันอยู่ห่างจากปลายพนักพระแท่นประมาณเจ็ดเซนติเมตร มีปืนของกลางขนาดสิบเอ็ด ม.ม.วางอยู่ข้างพระกรซ้าย ลำกล้องขนาน และห่างพระกรหนึ่งนิ้ว ปากกระบอกหันไปทางพระบาทศูนย์ท้ายของปืนอยู่ตรงระดับข้อพระกร (ข้อศอก) นางสาวเนื่องเห็นพระวรกายแน่นิ่งไม่ไหวติง จึ่งเข้าจับชีพจรที่ข้อพระหัตถ์ซ้าย ยังเต้นแรงและเร็วอยู่สักครึ่งหรือหนึ่งนาทีก็หยุดเต้นแล้วนางสาวเนื่องใช้สามนิ้วจับกลางกระบอกปืนนั้นขึ้นวางบนหลังตู้เล็กข้างพระแท่น รู้สึกว่ากระบอกปืนไม่ร้อนไม่เย็นและไม่มีอะไรเปื้อนเปรอะ การที่หยิบย้ายปืนไปเสียนั้นเพราะเกรงจะไม่ปลอดภัยแก่สมเด็จพระราชชนนีซึ่งยังคงซบพระพักตร์อยู่ที่พระชงฆ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ต่อมาราวยี่สิบนาที หลวงนิตย์ฯไปถึงตรวจพระอาการ แล้วทูลว่าไม่มีหวังสมเด็จพระราชชนนีก็รับสั่งให้แต่งพระบรมศพโจทก์นำสืบต่อไปว่า

เวลาราว ๑๐:๐๐ นาฬิกา เมื่อ ม.ร.ว.เทวาธิราช ทราบข่าวการสวรรคต แล้วได้ไปพบนายปรีดีที่ศาลาท่าน้ำ ทำเนียบท่าช้าง บอกว่า สวรรคตแล้ว นายปรีดีร้อง "เอ๊ะอะไรกัน" มีท่าทางสะดุ้งตัว แสดงว่าตกใจ ม.ร.ว.เทวาธิราชตอบว่า ไม่ทราบ อีกสักสิบห้านาที ม.จ.นิกรเทวัญซึ่งถูกเรียกก็มาถึง เวลานั้น นายปรีดีแต่งตัวเสร็จแล้ว กำลังเดินอยู่หน้าตึกรับแขก ม.จ.นิกรเทวัญเข้าไปหานายปรีดี แล้วเงยหน้าเป็นเชิงถาม พอไปชิดตัว นายปรีดีพูดเป็นภาษาอังกฤษพอให้ได้ยินเฉพาะตัว แปลเป็นไทยว่า ในหลวงปลงพระชนม์พระองค์เอง และพูดต่อไปว่า รอท่านอยู่นะซี รีบเข้าไปในวังด้วยกันแล้วก็พากันเข้าไปในพระที่นั่งบรมพิมานพร้อมทั้งพันเอก ช่วง เชวงศักดิ์สงคราม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และพลตำรวจโท พระรามอินทรา อธิบดีกรมตำรวจ ซึ่งสองคนหลังนี้ได้ไปอยู่ที่ทำเนียบท่าช้างก่อน ตั้งแต่เช้าแล้วต่อมา พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทรพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าภานุพันธุ ยุคล พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตร และพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอลงกฎ กับข้าราชการผู้ใหญ่อีกหลายท่าน ก็เสด็จและไปถึงทยอย ๆ กันนายปรีดี ในฐานะนายกรัฐมนตรี และว่าการสำนักพระราชวัง ให้เรียกตัวนายชิต นายบุศย์ นางสาวเนื่องมาถามนายชิตให้ถ้อยคำในเวลานั้นว่า ในหลวงยิงพระองค์ นายปรีดีให้ทำท่าให้ดู นายชิตจึ่งลงนอนหงายมือจับปืนทำท่าส่องที่หน้าผาก ม.จ.ศุภสวัสดิ์ ซึ่งอยู่ในที่นั้นรับสั่งว่า ปืนอย่างนี้ยิงเองที่พระนลาฏอย่างนั้นไม่ได้ จึ่งปรึกษากันว่าจะออกคำแถลงการณ์อย่างไรดี นายปรีดีพูดว่าออกแถลงการณ์ว่า สวรรคตเพราะพระนาภีเสียได้ไหม หลวงนิตย์ฯ ตอบว่าออกเช่นนั้น ผมไปก่อนเพื่อนแน่ เพราะเมื่อวานนี้ยังดีๆ อยู่วันนี้สวรรคตไม่ได้ พันเอกช่วงว่าถ้าอย่างนั้นเอาเป็นโรคหัวใจได้ไหม หลวงนิตย์ฯ ตอบว่าไม่ได้เหมือนกันเพราะอย่างไรคนก็ต้องทราบความจริง พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาชัยนาทนเรนทร รับสั่งว่าเห็นจะต้องแถลงตามความจริง นายปรีดีว่า เพื่อถวายพระเกียรติ ให้ออกแถลงการณ์ว่าเป็นอุบัติเหตุ

จึงได้ออกคำแถลงการณ์ของสำนักพระราชวัง เป็นฉบับแรก ลงวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๔๘๙ มีข้อความ ดั่งนี้
"ด้วยนับแต่วันที่ ๒ มิถุนายน ศกนี้ เป็นต้นมา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เริ่มทรงพระประชวรเกี่ยวแก่พระนาภีไม่เป็นปกติ และทรงเหน็ดเหนื่อยไม่มีพระกำลัง แม้กระนั้นก็ดี สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ได้เสด็จประพาสเยี่ยมเยียนราษฎรเป็นพระราชกรณียกิจของพระองค์ ครั้นต่อมา พระอาการเกี่ยวกับพระนาภีก็ยังมิได้ทุเลาลง จึ่งต้องเสด็จประทับอยู่แต่บนพระที่ มิได้เสด็จออกงานตามหมายกำหนดการ

ครั้นวันที่ ๙ มิถุนายน ศกนี้


เมื่อตื่นพระบรรทมตอนเช้า เวลา ๖:๐๐ นาฬิกา ได้เสวยพระโอสถน้ำมันละหุ่งแล้วเข้าห้องสรง ซึ่งเป็นพระราชกิจประจำวัน แล้วก็เสด็จเข้าพระที่

ครั้นเวลาประมาณ ๙:๐๐ นาฬิกา มหาดเล็กห้องพระบรรทมได้ยินเสียงปืนดังขึ้นในพระที่นั่ง จึ่งรีบวิ่งเข้าไปดู เห็นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรรทมอยู่บนพระที่มีพระโลหิตไหลเปื้อนพระองค์และสวรรคตเสียแล้วมหาดเล็กห้องพระบรรทม จึ่งได้ไปกราบทูลสมเด็จพระราชชนนีให้ทรงทราบ แล้วเสด็จไปถวายบังคมพระบรมศพ ต่อนั้นมามีพระบรมวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ นายกรัฐมนตรีรัฐมนตรีได้เข้าไปกราบถวายบังคม และอธิบดีกรมตำรวจกับอธิบดีกรมการแพทย์ ได้ไปถวายตรวจพระบรมศพและสอบสวน ได้ความสันนิษฐานได้ว่า คงจะทรงจับคลำพระแสงปืนตามพระราชอัธยาศัยที่ทรงชอบแล้วเกิดอุบัติเหตุขึ้น"

เกี่ยวกับบาดแผลที่พระบรมศพครั้งแรก หลวงนิตย์ไม่ได้พบแผลทางเบื้องหลังพระเศียร เข้าใจว่ามีแผลทางพระนลาฏด้านเดียว บรรดาท่านที่ประชุมกันอยู่พลอยเข้าใจเช่นนั้น

ครั้นรุ่งขึ้นวันที่ ๑๐ เจ้าหน้าที่จากสภากาชาดมาแต่งพระบรมศพเพื่อเตรียมการสรงน้ำ พระบรมศพในตอนเย็น จึ่งได้พบแผลที่เบื้องหลังพระเศียรอีกแผลหนึ่งตรงท้ายทอย มีพระเกศาปกคลุมบาดแผล ทำให้แลเห็นเป็นแผลเล็กกว่าแผลที่พระนลาฏ
จึ่งมีเสียงกล่าวกันว่า ถูกยิงทางเบื้องหลังพระเศียรทะลุออกทางพระนลาฏโดยเหตุที่มีเสียงครหาว่า คำแถลงการณ์ฉบับแรกไม่ถูกต้องต่อความจริง นายกรัฐมนตรีพร้อมด้วยรัฐมนตรีและพระบรมวงศานุวงศ์ได้ประชุมกันพิจารณารายงานของอธิบดีกรมตำรวจ ณ พระที่นั่งบรมพิมานแล้วได้ออกเป็นคำแถลงการณ์ของกรมตำรวจในวันที่๑๐ มิถุนายน ๒๔๘๙ มีข้อความพิสดารประกอบคำแถลงการณ์ของสำนักพระราชวัง เพื่อจะให้ฟังได้หนักแน่นยิ่งขึ้น
โดยอ้างการสอบสวนอย่างกว้างขวางตั้งเป็นข้อสังเกตสามประการ คือ

๑. มีผู้ลอบปลงพระชนม์
๒. ทรงปลงพระชนม์เอง
๓. อุบัติเหตุ

คำแถลงการณ์นั้น อ้างว่าตามทางสอบสวนไม่มีกรณีเหตุอันใดที่น่าสงสัย ในทางลอบปลงพระชนม์ทั้งไม่มีเหตุอันใดจะส่อให้เห็นว่าพระองค์ทรงปลงพระชนม์เอง แต่มีพฤติการณ์ควรให้สันนิษฐานว่า คงจะทรงหยิบพระแสงปืนมาลูบคลำเล่นตามพระอัธยาศัยที่โปรดเช่นเคย โดยมิได้ทรงตรวจก่อน คงจะทรงหันปากลำกล้องขึ้นส่องดูแล้วนิ้วพระหัตถ์ต้องไกปืน กระสุนปืนลั่นไปถูกพระนลาฏ จึ่งเกิดอุบัติเหตุขึ้น
รุ่งขึ้นวันที่ ๑๑ กรมตำรวจออกแถลงการณ์เป็นฉบับที่ ๒ ดั่งนี้
ได้ความในการสอบสวนเพิ่มเติมจากพระราชกิจประจำวันว่า ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ กำหนดให้หม่อมเจ้าอาชวดิศ ดิศกุล เข้าเฝ้าในวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๔๘๙ เวลา ๑๐:๐๐ นาฬิกา เพื่อกราบบังคมทูลลาทรงผนวช กับนัดให้หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ ร่วมโต๊ะเสวยพระกระยาหารกลางวัน และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ นายวงศ์เชาวนะกวี ไปกราบทูลสมเด็จพระสังฆราชว่าจะเสด็จไปทูลลาเสด็จสหรัฐอเมริกา ณ พระอุโบสถวัดบวรนิเวศ ในวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๔๘๙ อันเป็นหลักฐานเพิ่มเติมข้อสันนิษฐาน ตามแถลงการณ์ฉบับที่ ๑ ว่าการสวรรคตได้เป็นไปโดยอุบัติเหตุ ไม่มีทางส่อแสดงว่า ทรงปลงพระชนม์เอง
แต่อย่างไรก็ดี คำแถลงการณ์ยังไม่เพียงพอที่จะระงับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของหมู่ประชาชน ซึ่งยิ่งแพร่สะพัดออกไปทุกทีว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมิได้เสด็จสวรรคตโดยอุบัติเหตุ แต่ถูกลอบปลงพระชนม์ถึงกับมีผู้ไปร้องตะโกนในโรงภาพยนตร์ว่า นายปรีดีฆ่าในหลวง เป็นเหตุให้รัฐบาลเกรงจะเกิดจลาจล จึ่งได้ตั้งกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง โดยนายกรัฐมนตรีออกประกาศเมื่อ วันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๔๘๙ ความว่า คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในพระบรมนามาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้อนุมัติให้ตั้งกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง มีหน้าที่สอบสวนพฤติการณ์ ในการที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จสวรรคต แล้วให้เสนอรายละเอียดและความเห็นเพื่อนำความกราบบังคมทูลต่อไป ให้อธิบดีกรมตำรวจนำพยานมาสอบสวนต่อหน้ากรรมการในการนี้ได้ขอพระบรมราชานุญาตเปิดพระบรมโกศตรวจชันสูตรพระบรมศพโดยถี่ถ้วน และทำการทดลองยิงศพคนที่โรงพยาบาลศิริราช เพื่อทราบระยะยิงที่จะให้เกิดบาดแผลเช่นบาดแผลที่พระบรมศพ

เมื่อคณะกรรมการสอบสวนพฤติการณ์สวรรคต ที่เรียกกันว่า ศาลกลางเมือง สอบสวนเสร็จแล้วรายงานเสนอความเห็นว่า
สำหรับกรณีอุบัติเหตุ ไม่เห็นทางว่าจะเป็นไปได้เลย
ส่วนกรณีถูกลอบปลงพระชนม์ ไม่มีพยานหลักฐาน แต่ก็ไม่สามารถจะตัดออกเสียได้ เพราะท่าทางของพระบรมศพค้านอยู่ ในกรณีทรงปลงพระชนม์เองนั้น ไม่ปรากฏเหตุผลและหลักฐานอย่างใดว่าได้เป็นเช่นนั้นโดยแน่ชัด
คณะกรรมการไม่สามารถชี้ขาดว่า เป็นกรณีหนึ่งกรณีใดในสองกรณีนี้ ตกเป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานที่จะดำเนินการสืบสวนและปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาต่อไป คณะรัฐมนตรีซึ่งประกอบด้วย พลเรือตรีถวัลย์ ธำรงค์นาวาสวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ในขณะนั้น (สืบต่อจากนายปรีดี) และคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เห็นพ้องด้วยความเห็นของคณะกรรมการ เรื่องจึ่งถูกส่งไปยังกรมตำรวจ เมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๔๘๙ พลตำรวจตรี พระพิจารณ์พลกิจ อธิบดี ตรวจสำนวนเท่าที่มีอยู่ในเวลานั้น แล้วมีความเห็นว่า ยังไม่พอที่จะวินิจฉัย จึ่งสั่งตั้งกรรมการขึ้นดำเนินการ ตรวจสำนวนและสอบสวน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา แล้วให้เสนอความเห็นต่อกรมตำรวจโดยด่วน แต่กรณีก็ยังไม่คลี่คลาย จนกระทั่งเกิดรัฐประหารเมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ พลตำรวจตรี หลวงชาติตระการโกศล เป็นอธิบดีกรมตำรวจ ได้ออกคำสั่งตั้งนายตำรวจสิบนาย เป็นพนักงานสอบสวนกรณีนี้


มื่อวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ มีพันตำรวจเอก เนื่อง อาขุบุตร เป็นหัวหน้าในคำสั่งเท้าความว่า

"โดยที่ทางราชการฝ่ายทหารได้ส่งหลักฐาน แผนการของบุคคลคณะหนึ่งสมคบกันดำเนินการประทุษร้าย องค์พระมหากษัตริย์ มีการลอบปลงพระชนม์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล และเตรียมการเปลี่ยนระบอบการปกครองแผ่นดินโดยทำลายล้างรัฐบาล มาให้กรมตำรวจสอบสวนดำเนินคดี"


วันที่ ๘ ธันวาคม ๒๔๙๐ กระทรวงมหาดไทยออกคำสั่งให้พันตำรวจโท หลวงแผ้วพาลชน เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนแทนพันตำรวจเอก เนื่องต่อมารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ตั้งให้พลตำรวจตรี พระพินิจ ชนคดี เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน กรณีสวรรคต และคงให้หลวงแผ้วพาลชน เป็นพนักงานสอบสวนต่อไป ด้วยเมื่อเกิดรัฐประหารแล้วไม่กี่วัน จำเลยทั้งสามนี้ก็ถูกจับกุม คุมขัง ตลอดจนถูกฟ้อง นอกจากจำเลยสามคนนี้ พระยาอนุรักษ์ราชมณเฑียรหัวหน้ากองมหาดเล็ก และนางชอุ่ม ชัยสิทธิเวช ภรรยาเรือเอกวัชรชัย ก็ได้ถูกจับมาด้วยแต่แล้วก็พ้นข้อหาไปในชั้นสอบสวน ส่วนนายปรีดีและเรือเอกวัชรชัยหลบหนีไป ในคืนที่เกิดรัฐประหาร

จนกระทั่งบัดนี้โจทก์ตั้งรูปคดีและนำสืบว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตโดยถูกลอบปลงพระชนม์ แต่พยานบุคคลที่ได้รู้เห็นเป็นประจักษ์ขณะลอบปลงพระชนม์ไม่มีสืบ มีแต่หลักฐานพยานแวดล้อมกรณีต่างๆ แสดงว่าจำเลยเหล่านี้สมคบกับพรรคพวกที่ยังหลบหนีอยู่ ซึ่งได้แก่ นายปรีดี และเรือเอกวัชรชัย กระทำการปลงพระชนม์
ประเด็นเบื้องต้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จสวรรคตโดยถูกลอบปลงพระชนม์ จริงหรือประการใด พระที่นั่งบรมพิมานเป็นที่รโหฐาน อยู่ในพระบรมมหาราชวัง มีทหารยามและเจ้าหน้าที่ประจำ ตามธรรมดาผู้ร้ายไม่น่าสามารถจะเล็ดลอดเข้าไปกระทำการเช่นนั้นได้ แต่ถ้าได้ใช้ความพยายาม และความรู้ถึงลู่ทางเข้าออกตลอดจนความเป็นอยู่ของทหารยามและเจ้าหน้าที่ประจำว่าไม่เข้มงวดกวดขันแล้ว ผู้ร้ายก็อาจเข้าไปกระทำการสำเร็จได้ หรือถ้ามีคนภายในรู้เห็นเป็นใจด้วย หรือคนที่อยู่ภายในนั้นเป็นผู้ร้ายเสียเอง การก็ยิ่งสะดวกง่ายดายเป็นอันมาก
รัฐบาลในสมัยเกิดเหตุ แม้จะได้ตั้งศาลกลางเมืองขึ้น ก็มีจุดมุ่งหมายจะให้เป็นกรณีอุบัติเหตุหรือปลงพระชนม์เอง ทางพิจารณาได้ความว่า นายปรีดีเป็นผู้ให้ส่งคำซักถามพยานมาจากทำเนียบท่าช้างสำหรับนายตำรวจผู้มีหน้าที่ใช้ซักถามพยาน เมื่อรัฐบาลสมัยนั้นเห็นว่า มิใช่กรณีถูกลอบปลงพระชนม์แล้ว การที่จะสืบสวนหาพยานหลักฐานไปในทางถูกลอบปลงพระชนม์ก็ย่อมไม่มีปรากฏในทางพิจารณาว่า มีคำสั่งของรัฐบาล ในการสืบสวนและสอบสวน ถ้าจะต้องจับกุมผู้ใดต้องได้รับอนุญาตจากนายกรัฐมนตรีก่อน

อนึ่งมีประกาศเป็นทางการให้ผู้ที่รู้เรื่องการสวรรคตมาแจ้งแก่เจ้าพนักงาน แต่ถ้าผู้ใดยืนยันรู้เรื่องว่าเป็นการถูกลอบปลงพระชนม์ก็ย่อมเป็นภัยแก่ตน ดั่งเช่นเมื่อพันเอก พระยาวิชิตสรศาสตร ร้องเรียนว่า เป็นกรณีลอบปลงพระชนม์ โดยพาซื่อหลงเชื่อตามประกาศ ก็กลับถูกจับกุมฟ้องร้องหาว่าร้องเรียนเท็จ อ้างว่าจะก่อให้เกิดจลาจล เป็นต้น ทั้งเป็นที่รู้กันอยู่ในพระราชสำนักว่า ห้ามการวิพากษ์วิจารณ์กรณีสวรรคต เมื่อทางราชการปฏิบัติดั่งนี้ ก็เป็นการตัดหนทางของพยานผู้รู้เห็นเหตุการณ์ ได้ความว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต้องกระสุนปืนขณะบรรทมหงายอยู่บนพระที่ ตามคำเบิกความของ นายแพทย์ที่กระทำการชันสูตรพระบรมศพ และจากผลของการทดลองยิงศพที่โรงพยาบาลศิริราช ว่า กระสุนปืนแล่นเจาะพระนลาฏ ทะลุออกทางเบื้องหลังพระเศียรตรงท้ายทอย ผ่านสมองส่วนหน้า ออกทางส่วนหลัง เป็นการทำลายสมองโดยตรง เป็นผลให้หมดความรู้สึก และหมดกำลังทันทีที่จะเคลื่อนไหว กำลังหายใจเข้าอยู่ ก็คงจะหายใจเข้าไปตามธรรมดาอีกเฮือกหนึ่ง ถ้ากำลังหายใจออกอยู่ ก็ไม่มีการหายใจออกได้ หัวใจอาจเต้นต่อไปได้อีกนิดหน่อยราวครึ่งนาทีหรือกว่าสักเล็กน้อย นัยน์ตาถ้าลืมอยู่ก็คงลืมอยู่อย่างเดิม ถ้าหากหลับก็คงหลับอยู่อย่างเดิมเหมือนกัน อาการอย่างนี้แสดงว่าเสด็จสวรรคตทันที ในขณะต้องกระสุนปืน
ดั่งนี้ คดีจึ่งฟังได้ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตทันทีที่ต้องกระสุนปืนการเสด็จสวรรคตโดยทันที เช่นนี้ ได้ความตามคำพยานที่เป็นแพทย์หลายปากว่า ไม่ใช่เป็นเรื่องกระทำพระองค์เอง เพราะท่าทางของพระหัตถ์และพระกรทั้งสองข้างไม่งอหรือกำ ถ้าเป็นการปลงพระองค์เองหรืออุบัติเหตุโดยการกระทำของพระองค์เองแล้วพระหัตถ์และพระกรจะไม่เป็นเช่นนั้นเป็นเด็ดขาด คดีได้ความชัดว่า

เมื่อต้องกระสุนปืนแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรรทมอยู่บนพระที่ดุจบรรทมหลับ พระกรทั้งสองข้างทอดเหยียดชิดพระวรกาย พระภูษาที่คลุมพระองค์ก็อยู่ในสภาพเรียบร้อยดั่งกล่าวมาแล้ว จึ่งฟังได้ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต้องกระสุนปืนสวรรคต โดยมิใช่การกระทำของพระองค์ท่าน

นอกจากนี้ โจทก์ยังสืบถึงว่า ปืนกระบอกที่วางอยู่ใกล้พระหัตถ์ขณะเสด็จสวรรคต ไม่ใช่กระบอกที่ใช้ยิงพระองค์ท่าน เพราะโดยการพิสูจน์ปรากฏว่า ได้ใช้ยิงมาก่อนวันเกิดเหตุหลายวันแล้วและหัวกระสุนที่เก็บได้ในพระยี่ภู่ ก็ไม่ใช่กระสุนที่ทะลุผ่านพระเศียร เพราะมีลักษณะเรียบร้อยไม่มีรอยยับเยิน ผู้ร้ายในคดีนี้มิได้คิดมุ่งมาดปรารถนาแก่ทรัพย์สินอย่างใดในห้องพระบรรทม ไม่ปรากฏว่าทรัพย์สินสิ่งของอย่างใดได้ขาดหายไป โจทก์นำสืบพฤติการณ์ระหว่างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับ นายปรีดีว่า มีข้อขัดแย้งกันในการจะตั้งใครเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ถึงกับนายปรีดีได้พูดกับนายวงศ์ เชาวนะกวี เมื่อก่อนสวรรคตเพียงวันเดียว เป็นภาษาไทยปนอังกฤษความว่า ต่อไปนี้จะไม่คุ้มครองราชบัลลังก์ นายเฉลียว และเรือเอก วัชรชัย ทั้งสองนี้เป็นผู้ที่ฝักใฝ่ใกล้ชิดสนิทสนมกับนายปรีดีเป็นอย่างมาก นายปรีดีจัดให้นายเฉลียวได้เข้ารับราชการตำแหน่งสำคัญในราชสำนัก ส่วนเรือเอก วัชรชัย ซึ่งออกจากราชการไปแล้ว ก็ได้เข้ามารับราชการเป็นราชองครักษ์ ส่วนนายชิต และนายบุศย์ มหาดเล็กรับใช้ประจำห้องพระบรรทม ก็อยู่ภายใต้อำนาจของนายเฉลียว เฉพาะนายชิตนั้นยังเป็นผู้สนิทชิดชอบกับนายเฉลียวเป็นพิเศษอีกด้วย

โจทก์นำสืบต่อไปว่า เนื่องจากนายเฉลียวขาดความเคารพยำเกรงต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นต้นว่า ส่งรถยนต์ประจำพระองค์ไปให้ผู้อื่นใช้ จนขัดข้องแก่การที่จะทรงใช้ นั่งรถยนต์ไขว่ห้างล่วงล้ำเข้าไปถึงหน้าพระที่นั่ง ถวายหนังสือราชการด้วยอาการขาดคารวะ จูบหญิงพนักงานในที่ทำการ ซึ่งอยู่ตรงหน้าพระที่นั่งพระบรมพิมานจนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเห็น เหล่านี้เป็นการเหยียดหยามพระราชประเพณีและพระองค์ท่าน ไม่เป็นที่ต้องพระราชอัธยาศัย ทรงรับสั่งแก่นายปรีดีขอเปลี่ยนราชเลขานุการ นายเฉลียวจึ่งจำต้องออกจากตำแหน่งในราชสำนักไปตั้งแต่ตอนต้นๆ เดือนพฤษภาคม ๒๔๘๙
แล้วต่อมา นายเฉลียวก็ได้ดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาสืบต่อไป ส่วนเรือเอกวัชรชัย มิได้ปฏิบัติงานในหน้าที่ราชองค์รักษ์ตามสมควร ขาดราชการบ่อย ๆ ฝักใฝ่อยู่ทางทำเนียบท่าช้าง ไม่เป็นที่พอพระราชหฤทัย

ภายหลังที่ถูกปลดจากตำแหน่งราชองครักษ์แล้วก็ได้เป็นเลขานุการนายกรัฐมนตรีสืบต่อไป ในระหว่างที่นายเฉลียวเป็นราชเลขานุการในพระองค์ มีข้าราชการในราชสำนักเข้าฝักใฝ่เป็นพรรคพวก ทั้งนายเฉลียวยังได้จัดพรรคพวกของตนเข้ามารับราชการเพิ่มเติมอีก ถึงกับเมื่อคราวที่นายเฉลียวจะพ้นหน้าที่ พวกข้าราชการประเภทที่กล่าวมานี้ มีนายนเรศร์ธิรักษ์ นายกำแพง ตามไทย เป็นหัวหน้าพร้อมใจกันกล้าแสดงออกอย่างเปิดเผย ทำเรื่องราวถึงนายปรีดี คัดค้านว่าไม่ควรปลดนายเฉลียว ซึ่งเป็นการทะนงจงใจที่จะขัดขวางพระราชประสงค์โดยตรง ถ้าพวกนั้นไม่มีนิสัยหยาบช้า ก็คงไม่กล้าขัดแย้งพระราชประสงค์อันเกี่ยวกับกิจการในราชสำนักของพระองค์ท่าน ถึงปานนั้นนายนเรศร์ธิรักษ์ผู้นี้ เป็นหัวหน้ากองมหาดเล็กโดยนายปรีดี เป็นผู้แต
แกลเลอรี่


ย้อนกลับ