แม่น้ำเจ้าพระยาเปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ที่สำคัญของประเทศไทย เป็นทั้งเส้นทางสายหลักในการสัญจรและคมนาคมขนส่ง ตลอดจนหล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ริมสองริมฝั่งแม่น้ำสายนี้มานานหลายร้อยปี หลายคนอาจไม่ทราบว่ามี “อาชีพดำน้ำหาของเก่า” อาชีพที่อาศัยแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นสถานที่ทำงาน หาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องครอบครัวหนึ่งต่อเนื่องกันมานานถึง 3 ชั่วอายุคนแล้ว
นักล่าสมบัติใต้ท้องน้ำเจ้าพระยา หากฟังแค่ชื่ออาจรู้สึกว่าเป็นอาชีพที่น่าตื่นเต้น ด้วยทุกครั้งของการออกเรือนั้นไม่สามารถคาดการณ์ได้เลยว่าจะเจออะไร กู้อะไรจากใต้น้ำได้บ้าง บางครั้งอาจเจอทองคำ สร้อยคอ แหวน ถ้วยชามรามไห หรือพระพุทธรูป หรือบางครั้งอาจกลับบ้านมือเปล่า ทว่าอาชีพที่ต้องอาศัยโชคช่วยนี้สามารถสร้างรายได้มากพอให้เลี้ยงปากท้องคนในครอบครัวได้ อาชีพที่ไม่มีวันทำการตายตัว แต่หากวันใดเป็นวันปฏิบัติการ กิจวัตรก็มักเป็นการดำน้ำในช่วงเช้า และช่วงบ่ายมีพ่อค้าของเก่าเจ้าประจำเข้ามารับซื้อถึงบ้าน
ผู้เขียนขออาสาแนะนำให้ผู้อ่านรู้จักกับ “ลุงสาม” หรือคุณจำเริญ บัวศรี อายุ 58 ปี ผู้ประกอบอาชีพดำน้ำหาของเก่า อาศัยอยู่ในชุมชนมิตรคามย่านสามเสน ชุมชนแห่งนี้เป็นชาวคริสต์เชื้อสายญวนที่อพยพลี้ภัยสงครามมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 และตั้งรกรากบริเวณนี้ที่เป็นที่ดินพระราชทานให้อยู่อาศัย โดยมีโบสถ์เซนต์ฟรัง
ซิสเซเวียร์เป็นศูนย์กลาง ทั้งนี้ ชุมชนมิตรคามเป็นชุมชนประดาน้ำแห่งสุดท้ายของกรุงเทพฯ ที่ยังเหลืออยู่ประมาณ 10 ครอบครัวเท่านั้น ลุงสามเป็นนักดำน้ำรุ่นที่ 3 สืบทอดวิชาดำน้ำมาจากคุณพ่อที่เรียนรู้มาจากคุณปู่อีกทอดหนึ่ง
ภาพที่ 1 ชุมชนมิตรคามย่านสามเสน ชุมชนนักประดาน้ำหาของเก่าแห่งสุดท้ายในกรุงเทพฯ
ภาพที่ 2 ลุงสาม นักประดาน้ำหาของเก่าจากก้นแม่น้ำเจ้าพระยา
ขุมสมบัติใต้แม่น้ำเจ้าพระยา
การเลือกพื้นที่และอาณาบริเวณในการดำน้ำเพื่อหาสมบัติที่ก้นแม่น้ำ ลุงสามเผยข้อมูลความลับว่า ก่อนกำหนดขอบเขตพื้นที่นั้นต้องทำการศึกษาประวัติความเป็นมาว่าบริเวณใดของพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาเคยเป็นทำเลที่ตั้งหรืออยู่ใกล้บ่อนการพนัน ซึ่งมักเป็นตำแหน่งที่ค้นพบของมีค่าจมอยู่ใต้น้ำเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ ลุงสามเลือกกำหนดเขตพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำตั้งแต่บริเวณสะพานสาธร โดยเลือกจอดเรือเพื่อดำน้ำเป็นระยะๆ ไล่เรียงจากริมตลิ่งขึ้นทางทิศเหนือไปเรื่อยจนเข้าเขตน่านน้ำของจังหวัดปทุมธานี
ในแต่ละครั้งของการออกเรือไปทำงาน ลุงสามอธิบายให้ผู้เขียนฟังว่ามีกันเพียง 2 คนเท่านั้นกับเรือไม้ลำเล็กสภาพค่อนข้างเก่าที่ไม่มีหลังคาคลุม โดยคนหนึ่งทำหน้าที่เฝ้าอยู่ด้านบนเรือ ขณะที่อีกคนหนึ่งดำน้ำลงไปที่ก้นแม่น้ำที่มีอุปกรณ์สำคัญติดกายเพื่อช่วยการหายใจใต้น้ำเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น คือ “หมวกดำน้ำ” (diving helmet) หรือที่เรียกว่าหัวครู ทำจากโลหะมีขนาดใหญ่ แลดูหนักและเทอะทะมาก ซึ่งหมวกดำน้ำนี้ทำหน้าที่เก็บกักอากาศเอาไว้ใต้หมวก โดยใช้หลักการเดียวกับการคว่ำเรือแล้วมุดเข้าไปอยู่ใต้ลำเรือ ซึ่งยังมีอากาศบรรจุอยู่จำนวนหนึ่งทำให้ยังสามารถหายใจได้แม้อยู่ใต้น้ำ
ภาพที่ 3 เรือไม้ลำเล็กกับอุปกรณ์ดำน้ำที่แสนเรียบง่ายของนักล่าสมบัติใต้น้ำ
ภาพที่ 4 หมวกดำน้ำหรือหัวครูของลุงสาม (ซ้าย) เปรียบเทียบกับหมวกดำน้ำของกองทัพเรือ (ขวา)
อย่างไรก็ตาม วิธีการส่งอากาศให้หมุนเวียนจนสามารถหายใจได้นานตลอดการดำน้ำเป็นเวลานานนับชั่วโมงนั้นจะใช้การอัดอากาศเข้าไปข้างในผ่านสายยางเล็กๆ ที่เสียบต่อกับหมวกดำน้ำ ดังนั้น คนที่อยู่บนเรือต้องทำหน้าที่ปั๊มลมเติมออกซิเจนลงไปให้นักดำน้ำ และใช้สมาธิจดจ่ออยู่กับอุปกรณ์ตลอดเวลา เพราะหากเกิดข้อผิดพลาดอาจเป็นอันตรายแก่ชีวิต และคู่หูที่ลุงสามวางใจให้ทำหน้าที่สำคัญนี้จึงเป็นลูกชายของลุงนั่นเอง ซึ่งในอดีตการปั๊มลมจะใช้ระบบคันโยกด้วยมือ แต่ปัจจุบันประยุกต์ใช้เครื่องยนต์เป็นเครื่องมือผ่อนแรง
นอกจากนี้สายยางที่เชื่อมต่อกับหมวกดำน้ำที่มีความยาวประมาณ 100 เมตร ยังเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการสื่อสารกันระหว่างผู้อยู่บนเรือและนักดำน้ำด้วย โดยกำหนดรหัสที่ใช้เป็นโค้ดสื่อสาร เช่น นักดำน้ำกระตุกสายยาง 1 ครั้ง หมายถึง การผ่อนสายยาง หากกระตุก 2 ครั้ง หมายถึง การดึงสายยางม้วนกลับ หรือการกระตุกถี่ๆ หมายถึง มีเหตุร้ายเกิดขึ้นใต้น้ำ หรือเป็นสัญญาณเตือนภัยจากคนบนเรือ เช่น มีเรือใหญ่พุ่งตรงมา จำเป็นต้องเคลื่อนย้ายเรือหนี เป็นต้น
ผู้เขียนมีความสงสัยว่าเหตุใดลุงสามจึงไม่นำเครื่องมือสมัยใหม่ที่ทันสมัยมาช่วยป้องกันอุบัติจากของมีคม หรือค้นหาสมบัติใต้น้ำได้ง่ายขึ้น อาทิ ไฟฉายแรงสูงใต้น้ำ เครื่องตรวจจับอุปกรณ์โลหะ เป็นต้น ซึ่งได้รับคำตอบที่กระจ่างชัดว่า แม้จะเป็นการดำน้ำในเวลากลางวันแต่ใต้ผิวน้ำระดับความลึกแค่เพียง 4 เมตรของแม่น้ำเจ้าพระยาที่มีลักษณะน้ำค่อนข้างขุ่นอยู่ตลอดได้กลายเป็นโลกใต้น้ำที่มืดมิดในทันที อุปกรณ์เหล่านั้นไม่มี
ประโยชน์ใดๆ เลย ทว่าความมืด กระแสน้ำที่ไหลเชี่ยว และชั้นโคลนหนาแน่นสูงถึงระดับหัวเข่าที่ก้นแม่น้ำก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับนักล่าสมบัติผู้ชำนาญการ
การดำน้ำของลุงสามไม่ได้มีขั้นตอนที่ซับซ้อน และอาศัยเพียงอุปกรณ์ดำน้ำที่เรียบง่ายเพียงไม่กี่ชิ้น หลังครอบศีรษะด้วยสวมหมวกดำน้ำแล้วจะมีตุ้มโลหะเพิ่มน้ำหนักให้ร่างนักดำน้ำจมลงไปที่ก้นแม่น้ำ ซึ่งมีระดับความลึกค่อยๆ ลาดลงตามลักษณะของแม่น้ำที่เป็นแอ่งกระทะ จากประสบการณ์ที่โชกโชนเมื่อเท้าสัมผัสกับผิวก้นแม่น้ำและสามารถยืนทรงตัวได้แล้ว ลุงสามจะใช้มือเปล่าควานหาสมบัติตามความถนัดและเคยชิน การใช้มือเปล่าคลำสัมผัสวัตถุโดยเฉพาะวัตถุที่ทำจากโลหะ น้ำหนักที่แตกต่างกันของโลหะแต่ละชนิด ทำให้สามารถแยกแยะได้ว่าวัตถุนั้นเป็นสิ่งใด เช่น สร้อย แหวนทองคำ เงิน ทองเหลือง เป็นต้น เมื่อเจอสิ่งที่คาดว่าเป็นของมีค่าแล้ว ลุงสามจะเก็บใส่กระเป๋าคาดเอวไว้ก่อน จากนั้นเมื่อกลับขึ้นฝั่งแล้วจึงนำมาเทใส่ตะแกรงตาถี่จุ่มน้ำเพื่อร่อนล้างเศษโคลนออก และลุ้นอย่างใจจดใจจ่อว่าของที่งมขึ้นมาได้มีอะไรที่มีมูลค่าบ้าง หากเจอของมีค่าที่ทำด้วยทอง ลุงสามมักนำมาใส่ปากอมหรือคาบไว้แล้วกลับขึ้นสู่ผิวน้ำทันที ไม่ใส่กระเป๋าคาดเอวด้วยกลัวว่าจะหล่นหาย
จากประสบการณ์ดำน้ำหาสมบัติมาหลายสิบปี สิ่งของที่ลุงสามค้นพบจากก้นแม่น้ำล้วนแล้วแต่เป็นข้าวของเครื่องใช้ของคนสมัยก่อนตั้งแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ และผู้คนอาศัยอยู่บนเรือนแพริมแม่น้ำกันอย่างหนาแน่น กรุสมบัติที่ลุงสามเปิดให้ชมจึงมีสิ่งของหลากหลายประเภท อาทิ ถ้วยชามลวดลายต่างๆ ทั้งลายจีน ลายยุโรป บางใบมีตราสลักอยู่ก้นถ้วย ตุ๊กตาเสียกบาล ของเล่นดินเผา เหรียญต่างๆ เงินพดด้วง สร้อยทองแหวนเงิน เป็นต้น
ลุงสามเล่าให้ฟังอย่างภาคภูมิใจว่าของมีค่าที่เจอบ่อยครั้งเป็นแหวนทองคำ บางวงเป็นแหวนทองคำที่มีอายุเก่าแก่สมัยกรุงศรีอยุธยา แต่ชิ้นที่มีมูลค่าสูงและตื่นเต้นประทับใจมากที่สุดเป็นกำไลโบราณที่มีน้ำหนักถึงห้าบาท และสร้อยทองคำ ยิ่งเมื่อทองคำโบราณต้องโดนแสงก็ทอประกายสีทองสุกอร่าม สวยงามมาก เช่นเดียวกับนัยน์ตาของลุงสามที่เปล่งประกายวิบวับยามเล่าถึงผลงานที่แสนภาคภูมิใจนี้
ภาพที่ 5 ตัวอย่างสมบัติจากก้นแม่น้ำเจ้าพระยา
ภาพที่ 6 ตุ๊กตาต่างๆ ที่ลุงสามงมหาได้
การดำน้ำที่ปราศจากเครื่องป้องกันทำให้ลุงสามมักได้รับบาดเจ็บจากการโดนเศษแก้วบาดมือเสมอระหว่างใช้มือเปล่าควานหาสมบัติก้นแม่น้ำเจ้าพระยาที่สกปรกและเต็มไปด้วยขยะต่างๆ นอกจากนี้ ครั้งหนึ่งเคยเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงเกิดจากสายยางส่งอากาศระเบิดเพราะอุปกรณ์เก่าและชำรุด ทำให้มีน้ำไหลเข้าไปในหมวกดำน้ำอย่างรวดเร็ว นับเป็นความโชคดีที่ลุงสามมีสติและความเชี่ยวชาญรีบถีบตัวกลับขึ้นสู่ผิวน้ำได้ทันเวลาก่อนที่น้ำจะท่วมจนเต็มหมวก และหมดอากาศหายใจ นับเป็นเรื่องราวอุบัติเหตุอันตรายที่ผู้เขียนฟังและลุ้นระทึกจนเผลอกลั้นหายใจตามไปด้วย
แม้กระแสน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยายังคงขึ้น – ลงวันละสองรอบตามวัฏจักร และช่วยพัดพาสมบัติใต้น้ำให้หมุนเวียนขึ้นจากโคลนให้นักล่าสมบัติใต้ท้องน้ำเจ้าพระยาเก็บกู้มาใช้เลี้ยงชีพได้ ทว่าปัจจุบันจำนวนสิ่งของมีค่าที่งมหาได้นั้นเริ่มลดน้อยลงทุกที คงเหลือเพียงจำนวนหนึ่งในสิบจากที่เคยหาได้เมื่อสามสิบปีก่อน อีกทั้งชุมชนนักประดาน้ำแห่งสุดท้ายนี้แม้จะอยู่อาศัยต่อเนื่องกันมายาวนาน แต่ห้าสิบสองครัวเรือนในชุมชนนี้ไม่มีโฉนดกรรมสิทธิ์ที่ดิน บ้านสร้างคร่อมอยู่บนแม่น้ำจึงจำเป็นต้องรื้อย้ายบ้านออกทั้งหมดทุกหลังภายในปี พ.ศ. 2568 ด้วยมีประกาศการเวนคืนที่ดินริมตลิ่งแม่น้ำเจ้าพระยาตามกฎหมาย โดยได้รับเงินกู้จากหน่วยงานรัฐบาลเพื่อไปซื้อที่ดินปลูกบ้านใหม่ เหตุเหล่านี้ทำให้อาชีพดำน้ำหาของเก่าอาจไม่ได้ส่งทอดให้รุ่นลูกหลานและหายสาบสูญไปตามกาลเวลา กระนั้น ลุงสามยังคงยืนยันว่ายังคงทำอาชีพงมหาสมบัติใต้แม่น้ำเจ้าพระยาต่อไป